REVIEW : MAZDA CX-30 ช่วงล่างแน่น ออปชั่นคุ้มค่า ระบบความปลอดภัยให้เยอะ


CX-30 เรียกได้ว่าเป็น Compact SUV อีกหนึ่งรุ่น จากค่าย MAZDA รถที่หลายคนตั้งข้อสงสัยหรือแอบกังวลว่าเป็นรถที่นั่งได้สบายจริงๆ เหรอ เบาะแถวสองนั่งแล้วจะแคบไหม เรียกว่าพูดกันปากต่อปากแบบติดตลกว่า รถรุ่นนี้นั่งได้ดีเฉพาะแถวหน้า แถวหลังนั่งแล้วอึดอัด ซึ่งผมเชื่อบางคนยังไม่มีโอกาสไปลองขับไปลองนั่ง แค่ก็ฟังข้อมูลต่อๆ กันมาอีกที วันนี้ Carternativethailand ก็ได้จัดมาทดสอบและรีวิว พิสูจน์ให้สิ้นข้อสงสัยกันไปเลย ว่า MAZDA CX-30 ขับดีแค่ไหน ช่วงล่างเป็นอย่างไร แล้วออปชั่นล่ะคุ้มราคาหรือไม่ ที่สำคัญนั่งแล้วเป็นอย่างไร ทั้งหมดไปอ่านข้อมูลกันเลยครับ
สำหรับ MAZDA CX-30 รุ่นปัจจุบันเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงต้นปี 2565 มาพร้อมกับทางเลือกสีใหม่ Platinum Quartz (สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์) โดยทำตลาดทั้งหมด 3 รุ่นย่อยเหมือนเดิม โดยรุ่นที่เราได้นำมารีวิวก็เป็นรุ่น SP ซึ่งเป็นรุ่น Top นั่นเอง
รายละเอียดออปชั่น รุ่น 2.0 C 6AT ราคา 989,000 บาท (ราคาเดิม)
– เพิ่ม ไฟ Daytime Running Light แบบ LED
– เพิ่ม ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยวของรถ AFS
– เพิ่ม ไฟท้ายแบบ LED
– เพิ่ม เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
– เพิ่ม กล้องมองภาพขณะถอยจอด
– เพิ่ม สีตัวถังภายนอก เบจ Platinum Quartz (ยกเลิก สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue Mica)
รายละเอียดออปชั่นรุ่น 2.0 S 6AT ราคา 1,099,000 บาท (ราคาเดิม)
– เพิ่ม ไฟ Daytime Running Light แบบ LED
– เพิ่ม ระบบปรับไฟหน้าตามองศาการเลี้ยวของรถ AFS
– เพิ่ม ไฟท้ายแบบ LED
– เพิ่ม แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shift
– เพิ่ม เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า 4 ตำแหน่ง
– ตัด เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง จาก 6 เหลือ 4 ตำแหน่ง
– เพิ่ม สีตัวถังภายนอก เบจ Platinum Quartz (ยกเลิก สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue Mica)
รายละเอียดออปชั่นรุ่น 2.0 SP 6AT ราคา 1,199,000 บาท (ราคาเดิม)
– อัพเกรด ระบบควบคุมความเร็ว และ พวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS จากเดิมทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 60 km/h เป็น 145 km/h
– ตัด เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง จาก 6 เหลือ 4 ตำแหน่ง
– เพิ่ม สีตัวถังภายนอก เบจ Platinum Quartz (ยกเลิก สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue Mica)



สำหรับรูปลักษณ์และรายละเอียดภายนอกของ MAZDA CX-30 ในมุมของผมซึ่งบอกตรงๆ ว่าไม่ใช่ติ่งหรือ FC ของมาสด้า ต้องบอกเลยว่าหน้าตาจัดอยู่ระดับที่สวยทีเดียว และที่เห็นได้ชัดคือเหลี่ยมสันของรถมีไม่เยอะเท่าไร อีกทั้งเส้นสายรอบคันเวลาที่มองจากแต่ละมุมนั้นก็จะให้แสงและเงาที่แตกต่างกันจุดนี้ต้องขอชม

ส่วนชุดกระจังหน้าเอาจริงๆ หากมองที่ดีไซน์รู้สึกว่ามันดูเรียบๆ ไปหน่อยเป็นแบบรังผึ้งสีดำ ดีที่ยังมีเส้นโครเมียมซึ่งเป็นกรอบด้านล่างของกระจัง ซึ่งยังออกแบบยาวต่อเนื่องเชื่อมไปถึงใต้กรอบไฟหน้า ตรงนี้ก็ทำให้ด้านหน้าดูมีชีวิตชีวาน่ามองมากยิ่งขึ้น ส่วนบริเวณชายล่างของกันชนหน้าถูกคาดทับด้วยแถบพลาสติกสีดำ ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าไม่เพียงช่วยให้ด้านหน้ารถดูไม่จืดแล้ว ก็ยังช่วยเป็นจุดดึงนำสายตา และยังเป็นเหมือนแนวป้องกันเสร็จหินหรือวัตถุของแข็งที่อาจดีดขึ้นมาจากถนน ซึ่งเสี่ยงที่จะทำให้บอดี้หรือสีรถเกิดความเสียหายได้

สำหรับโคมไฟหน้าเห็นชัดว่าเป็นทรงเรียวขนาดไม่ใหญ่ เปรียบกับได้กับหนุ่มยุ่นตาตี่ ออกแบบให้ตำแหต่งติดตั้งเฉียงเอียงขึ้นไปถึงมุมแก้มซ้าย-ขวา ในโคมเป็นไฟแบบโปรเจคเตอร์ LED ที่มาพร้อมเดย์ไทม์รันนิงไลท์แบบ LED Signature ที่สำคัญมาสด้าไม่กั๊กของ ยังใส่ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH หรือว่า Adaptive LED Headlamps) ซึ่งการทํางานของไฟสูง-ต่ำ สามารถแยกอิสระซ้าย-ขวา โดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับสภาพถนน ระยะห่างจากตําแหน่งของรถคันหน้าหรือรถที่วิ่งสวนมา และช่วยให้การทํางานของไฟสูงไม่ไปรบกวนรถคันอื่นอันนี้จัดว่าดีมากๆ

ดีไซน์ด้านข้างมากับแถบพลาสติกสีดำขนาดใหญ่แต่ไม่หนามาก ที่เริ่มตั้งแต่มุมกันชนหน้าที่โอบโค้งมาเชื่อมต่อกับคิ้วซุ้มล้อ และลากยาวต่อไปถึงคิ้วล้อหลังและกันชนท้ายกันเลยทีเดียว รวมๆ นับว่าดูดี เสมือนช่วยเสริมให้คาแร็คเตอร์ของรถดูมีความดุดันบึกบึน ตามสไตล์เอสยูวีครอสโอเวอร์ได้ดีทีเดียว และยังป้องกันเศษหินที่อาจกระเด็นขึ้นมาโดนบอดี้หรือสีรถได้

ส่วนกระจกมองข้างเป็นสีเดียวกับตัวรถ มาพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ในตัว สามารถปรับและพับเก็บได้แบบอัตโนมัติ เหนือขึ้นไปที่หลังคาก็มีซันรูฟไฟฟ้า ซึ่งจะมีเฉพาะในรุ่น SP เท่านั้นนะครับ


ดีไซน์ด้านท้ายออกแบบให้เสาหลังคา (เสา C) ค่อนข้างลาดเอียง ก่อนจะตัดตรงในจุดที่เป็นตำแหน่งของไฟท้าย ที่ชายหลังมีสปอยเลอร์สีดำเงาขนาดกำลังพอดี ติดตั้งอยู่ในแนวระนาบเดียวกับหลังคามองแล้วแบบว่าเออดีไซน์เรียบๆ แต่ดูเท่แบบไม่เลอะเทอะ รวมถึงยังฝังไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED เข้าไป


ส่วนไฟท้ายเป็น LED Signature ออกแบบให้มี 2 ชิ้น ชิ้นหนึ่งที่แก้มดีไซน์ดูเหมือนดวงตา อีกชิ้นอยู่ที่ฝาประตูท้าย ถัดลงมาล่างสุดก็เป็นแถบกันชนที่แบบแผ่นพลาสติกสีดำขนาดใหญ่ที่เข้าเซ็ตมากับคิ้วซุ้มล้อ ปลายท่อหุ้มด้วยปลอกโครเมี่ยมดีไซน์ให้ออกแบบสองฝั่ง
มิติตัวรถ
MAZDA CX-30 : ยาว 4,395 มม. กว้าง 1,795 มม. สูง 1,540 มม. ระยะฐานล้อ 2,655 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มม. พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย 430 ลิตร
คู่แข่ง : Honda HR-V RS : ยาว 4,835 มม. กว้าง 1,790 มม. สูง 1,590 มม. ระยะฐานล้อ 2,610 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 196 มม.
คู่แข่ง : Toyota Corolla Cross GR Sport : ยาว 4,455 มม. กว้าง 1,825 มม. สูง 1,620 มม. ระยะฐานล้อ 2,640 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 161 มม.
คู่แข่ง : Nissan Kick : ยาว 4,290 มม. กว้าง 1,760 มม. สูง 1,610 มม. ระยะฐานล้อ 2,615 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 175 มม.

ภายห้องโดยสารมากับโทนสีดำ แดชบอร์ดด้านบนและคอนโซลกลาง รวมถึงแผงประตูหุ้มด้วยหนังสีน้ำตาล ค่อนข้างหนามีความซอฟต์ทัชทีเดียว จับหรือลูบแล้วความรู้สึกว่ามันสบายมือแถมยังดูแน่นและแข็งแรง ถัดลงด้านล่างของแดชบอร์ดถูกหุ้มด้วยหนังสีดำ พร้อมเพิ่มความพรีเมี่ยมภายในด้วยวัสดุสีเงินโครเมียม ซึ่งถ้าไม่ได้เจ้าแถบนี้บอกเลยดูธรรมดา


ส่วนพวงมาลัยดีไซน์ 3 ก้านเหมือนโมเดลปี 2021 ซึ่งหุ้มด้วยหนัง สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลงเข้า-ออก) ตำแหน่งก้านพวงมาลัยมีสวิตช์มัลติฟังก์ชั่น ฝั่งซ้ายควบคุมเครื่องเสียงและมาตรวัด ฝั่งขวาควบคุมระบบช่วยขับขี่และครูสคอนโทรล ด้านหลังพวงมาลัยมีแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift รวมๆ นับว่าลงตัวทั้งความสวยงามและง่ายต่อการใช้งาน

แอบเสียดายไปสักหน่อยสำหรับมาตรวัด ที่มาแบบกึ่งดิจิตอล ดีไซน์เป็นทรงกลม 3 ช่อง ซ้ายความเร็วรอบ-ขวาอุณหภูมิเครื่องยนต์-ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่ง 2 ตัวนี้เป็นอนาล็อค ส่วนตรงกลางเป็นดิจิทัลและ TFT LCD ขนาด 7 นิ้ว แสดงผลความเร็วและการทำงานของระบบต่างๆ เป็นกราฟิกของระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเตือนออกนอกเลน เตือนจับพวงมาลัย

เหนือขึ้นไปที่กระจกบังลมหน้าในตำแหน่งของผู้ขับมีจอแสดงข้อมูล Active Driving Head-up Display ที่สะท้อนจากแดชบอร์ดขึ้นมาที่กระจก แสดงความเร็วและระบบครูสคอนโทรล และยังสามารถปรับรความเข้มความสว่างได้ อันนี้ดีโดยเฉพาะเวลากลางซึ่งแดดค่อนข้างจ้า เราก็ปรับให้มันสู้แสงหรือมีแสงที่เข้มกว่าได้ ส่วนสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ทำงานผ่าน Push Start Button ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อยอยู่แล้ว

ตรงกลางแดชบอร์ดเป็นจอ Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว แสดงเมนูคำสั่งของ Mazda Connect แต่บอกก่อนว่าไม่ใช่ระบบสัมผัสนะและขนาดก็ไม่ได้ใหญ่ ขณะที่ใช้งานระบบแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทางจัดว่าคมชัดดี และยังปรับองศาให้หันเอียงเข้าหาผู้ขับอีกด้วย อันนี้ถือว่าโอเคมากๆ มาพร้อมระบบนำทาง Navigation System นอกจากนี้เขายังให้ระบบเสียงแบบ Premium Sound จาก BOSE® ลำโพง 12 ตัว พร้อม Sub-Woofer นักขับหูเทพน่าจะถูกใจ รวมทั้งเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ สามารถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้อีกด้วย

สำหรับระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ Dual Zone แยกอิสระซ้าย-ขวา และมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลังมาให้ จัดว่ากระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึงทุกตำแหน่งในห้องโดยสารแน่นอน ช่วงเปิดแอร์ใหม่ๆ หลังจากที่จอดรถกลางแดดเปรี้ยงๆ ก็นับว่าปรับอุณหภูมิได้เร็วพอสมควร ถัดลงมาเป็นช่อง AUX และช่อง USB ก็แอบบงงเหมือนกันว่าสมัยนี้ใครยังใช้ AUX อยู่ ปรับเป็น USB น่าจะได้ใช้งานมากกว่า

ส่วนคอนโซลเกียร์ตกแตกด้วยวัสดุลายคาร์บอนเคฟลาร์อันนี้ดูดีเลย เพราะดูไม่ก๊อกแก๊ง ส่วนหัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง ข้างคันเกียร์มีสวิตช์ปรับใช้งานโหมดสปอร์ต ด้านล่างมีปุ่มควบคุมหน้าจอ CENTER COMMANDER ส่วนฝั่งซ้ายเป็นสวิตช์คุมเครื่องเสียงฝั่งขวาคือสวิตช์เบรกมือไฟฟ้าและ Auto Brake Hold ย้อนขึ้นไปที่กระจกมองหลัง ให้มาแบบที่ปรับลดแสงอัตโนมัติ สำหรับม่านบังแดดมาพร้อมกระจกแต่งหน้า มีฝาเลื่อนเปิด-ปิด พร้อมไฟส่องสว่างมีสวิตช์เปิด-ปิดมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง


หลังคากระจก Sunroof ติดตั้งมาให้เฉพาะรุ่น SP เท่านั้น ควบคุมการทำงานด้วยสวิตช์ไฟฟ้า แบบ One-touch พร้อมม่านบังแดดแบบใช้มือเลื่อนเปิด-ปิด ส่วนไฟส่องสว่างกลางห้องโดยสาร ใช้หลอด LED ส่วนตัวผมว่าไม่สว่างแต่ก็ให้ความสบายได้พอสมควร กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ขึ้น-ลง แบบอัตโนมัติ One-Touch ทั้ง 4 บาน นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันการหนีบ Protection Jam มาให้อีกด้วย


เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำทั้งหมด ฝั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 10 ทิศทาง ติดตั้งตัวปรับดันหลังไฟฟ้า Lumbar Support มาให้ อันนี้บอกเลยว่าผมชอบเป็นการส่วนตัว เดินทางไกลถือว่าช่วยลดความเมื่อยได้เยอะ เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังมีระบบบันทึกตำแหน่ง Memory Seat 2 ตำแหน่งมาให้อีกด้วย ขณะที่เบาะฝั่งผู้โดยสารตอนหน้าดันปรับด้วยมือ (6 ทิศทาง) ซะอย่างงั้น ถ้าจะให้ขนาดนี้ผมว่าให้ปรับไฟฟ้ามาเหอะ 4 ทิศทางก็ยังดี


มาดูกันที่ท่าทางการนั่งที่หลายคนแอบกังวล ในส่วนของเบาะผู้ขับ นั่งปุ๊บบอกเลยกระชับกำลังดี สำหรับกับคนที่รูปร่างไม่ท้วมมากนะ เพราะคนร่างใหญ่แอบอึดอัดไปหน่อย ส่วนระยะเฮดรูมปรับเบาะให้ลงต่ำสุดเหลือ 1 ฝ่ามือแนวตั้ง ส่วนพนักพิงไม่ต้องกลัวว่าจะยวบจมลงไปเพราะมี Lumbar Support มาให้ ฐานเบาะคนความสูง 160-170 ซม. กว่าๆ กำลังดีไม่สั้นจนขาลอย ส่วนคนที่สูงขายาวกว่านี้มีใต้ท้องขาลอยแน่ๆ



ในส่วนของเบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60 : 40 ที่วางแขนเบาะนั่งด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ ซึ่งท่าทางการนั่งหลายคนคิดว่าดูตีบแน่นกว่าคู่แข่ง ซึ่งหลังจากที่ลองนั่งแล้วก็บอกได้เลยว่าใช่เลยครับ พื้นที่บริเวณขาเหลือค่อนข้างน้อยประมาณ 4 นิ้วฝ่ามือ ซึ่งปรับต่ำแหน่งของเบาะหน้าให้อยู่ระหว่างกึ่งกลาง ถ้าเลื่อนมาด้านหลังแบบสุดๆ มีขาชน




สำหรับระยะเฮดรูม อันนี้เหลือพื้นที่ประมาณ 1 ฝ่ามือครับ กับสรีระของผม 160 ซม. กว่าๆ ว่ายังพอไหวยังไม่รู้สึกถึงขั้นว่าอึดอัด แต่ถ้าคนตัวสูง 170 ซม. ปลายๆ ขึ้นไป มีอึดอัดแน่นอน ส่วนความเอียงของพนักพิงกำลังดีไม่ตั้งชันมาก และที่ผมชอบเลยคือพนักพิงศีรษะค่อนข้างหนา ทำให้ดันหัวได้กำลังดีเลยแม้ว่าจะปรับเอนไม่ได้ ฐานเบาะนุ่มหนานั่งแล้วไม่ยวบให้ความสบายได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเบาะแถวจะมีอย่างเดียวที่รู้สึกไม่ชอบคือ ระยะเลกรูมหรือระยะพื้นที่วางขา ผมว่าพอมันมีน้อย เวลาเดินทางไกลก็เสี่ยงทำให้เมื่อยหรือไม่สบายตัวได้อยู่เหมือนกัน

เครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv-G ขนาด 2.0 ลิตร DOHC แบบ 4 สูบ Dual S-VT Electronic Direct Injection กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 213 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานผสานกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ SKYACTIV ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า มีสวิตซ์ Drive Selection : Sport Mode และสวิตช์เปิด-ปิด การทำงานระบบช่วยประหยัดน้ำมัน i-STOP และสามารถรองรับน้ำมันสูงสุด E85 นอกจากนี้ยัง
ในด้านสมรรถนะ CX-30 อัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งแล้วไต่ทะยานไปที่ 90 กม./ชม. ถือว่าทำได้ค่อนข้างได้ดีพอสมควร ไม่รอรอบ มาไวให้ความรู้สึกลื่นไหล จัดจ้านว่า Mazda3 c]tคู่แข่งอย่าง Cross Sport ตัว 1.8 เบนซินล้วน ซึ่งต้องบอกก่อนนะว่าอย่าไปเทียบรถที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าอย่าง Kick หรือไฮบริดที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วย ส่วนช่วงความเร็วลอยตัว 120 กม./ชม. อยากเพิ่มความเร็วไปที่ 140-150 กม./ชม. ก็ยังทำได้ดีอยู่ ไม่อึดอาดให้ความลื่นไหลต่อเนื่อง เร่งแซงก็รู้สึกมั่นใจ แต่เมื่อไหร่ต้องการที่เพิ่มมากกว่านี้ รู้สึกได้ชัดว่ามีอาการหน่วงๆ ทำให้การไต่ความเร็วต้องใช้เวลาปั้นนานอยู่พอสมควร
มาถึงประสิทธิภาพระบบช่วงล่าง ต้องแบบไม่อวยเลยว่า เป็นจุดที่ผมชอบมากที่สุดของรถรุ่นนี้ ขับแล้วสบายใจอุ่นใจมากๆ ใช้คำนี้เลยก็ว่าได้ โดยด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอสันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม ดียังไงเอาง่ายๆ คุณขับเข้าโค้งสัก 100-120 กม./ชม. รถยังนิ่งอาการโยนตัวมีน้อยมาก เรียกว่าขับแล้วไม่ต้องเกร็ง
ซึ่งบอกเลยว่ามันอยู่ที่การเซ็ตรถจริงๆ พอบวกกับมีระบบ GVC Plus หรือ ควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง เทคโนโลยีภายใต้ Skyactiv-Vehicle Dynamics ที่มาสด้าได้พัฒนาต่อยอดจากระบบ GVC ทำให้ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยําและสมดุลมากขึ้น โดยเฉพาะในทางโค้งหรือในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น
โดยมีรูปแบบการทำงาน ดังนี้
ขณะเริ่มเข้าโค้ง เครื่องยนต์จะลดแรงบิดลงเล็กน้อย เพื่อเบรกล้อนอกโค้ง ให้เหมาะสมกับลักษณะของโค้ง ทำให้น้ำหนักรถถ่ายมายังล้อล้อคู่หน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้ในการควบคุม ส่งผลให้ล้อคู่หน้ายึดเกาะถนนมากขึ้น เข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ สมดุล (เช่น เข้าโค้งซ้าย ระบบจะสั่งชะลอล้อหน้าขวา หรือถ้าเข้าโค้งขวา ระบบจะสั่งชะลอล้อหน้าซ้าย)
ขณะอยู่ในโค้ง ระบบจะคืนแรงบิดเข้าสู่สภาวะปกติ เพื่อควบคุมน้ำหนักของตัวรถ ให้อยู่ในสภาวะสมดุลทั้งหน้าและหลัง ส่งผลให้การแก้พวงมาลัยในโค้งเกิดขึ้นน้อยที่สุด
ขณะออกจากโค้ง ระบบจะตรวจสอบองศาการหมุนพวงมาลัย เพื่อคำนวณและช่วยเบรกที่ล้อหน้าฝั่งนอกโค้ง ทำให้รถกลับสู่งทางตรงได้ง่ายขึ้น
ตัดภาพมาที่ความนุ่มนวล บอกเลยว่า CX-30 ออกแนวตึงตังมากกว่า ผ่านคอสะพานพื้นถนนต่างระดับ ช่วงล่างเก็บอาการสะท้อนแบบทีเดียวจบไม่กระเด้งกระดอนหรือบั๊มถี่ๆ บวกกับล้อที่ใหญ่ถึง 18 นิ้วและยางแก้มเตี้ย ทำให้ประสิทธิรวมๆ ไม่นุ่มมากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับหยาบกระด้างนะ ใครที่ชอบขับรถเร็วๆ หรือชอบฟิลลิงสไตล์สปอร์ตผมว่าตอบโจทย์เลย
ส่วนพวงมาลัยก็เป็นแบบเพาเวอร์ไฟฟ้า EPAS (Electric Power-Assist Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.3 เมตร เท่ากับ Mazda 3 น้ำหนักช่วงความเร็วต่ำ สำหรับผมรู้สึกว่าเบามือดีนะ ทำให้ใช้งานในเมืองได้คล่องตัว และก็ให้น้ำหนักที่หน่วงมือเพิ่มขึ้น เมื่อใช้ความเร็วสูงตั้งแต่ 90 ขึ้นไป ทำให้คอนโทรลรถได้สนุกมั่นใจ ให้ความมั่นคงบังคับทิศทางได้ง่ายทีเดียว
ด้านระบบเบรกของ CX-30 ด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบมีครีบระบายความร้อน ด้านหลังดิสก์เบรกธรรมดา ถามว่าเบรกตอบสนองดีไหมบอกเลยว่าดี แต่การใช้งานบอกเลยว่าต้องปรับตัวหรือเรียนรู้คาแร็คเตอร์ของมันสักนิด โดยเฉพาะกับมือใหม่ ผมว่าเบรกเค้าค่อนข้างลึก ดังนั้นต้องกะระยะให้พอดี
ในส่วนของเทคโนโลยีความปลอดภัย ต้องบอกเลยครับว่าจัดมาให้เยอะพอสมควร โดย Mazda CX-30 มาพร้อมเทคโนโลยีที่ชื่อเฉพาะก็คือ i-ACTIVSENSE ซึ่งทำหน้าที่ช่วยป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากมายหลายระบบ ประกอบด้วย
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน
– ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
– ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ
– ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า
– ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติแบบ
– ระบบช่วยเบรกและหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง
– ระบบช่วยหยุดรถเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
– ระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ ALH (Adaptive LED Headlamps)
– ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LAS (Lane-keep Assist System)
– ระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน LDWS (Lane Departure Warning System)
– ระบบช่วยเตือนเมื่อเหนื่อยล้าขณะขับขี่ DAA (Driver Attention Alert)
– ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง (360 ̊ View Monitor)
– ระบบความคุมความเร็วคงที่ (Cruise Control)
พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้างคู่หน้า ม่านถุงลมนิรภัย และบริเวณหัวเข่าด้านคนขับ รวม 7 ตำแหน่ง ระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด ด้านหลัง 4 จุด กุญแจนิรภัย สัญญาณกันขโมย และระบบล็อก และปลดล็อกประตูอัตโนมัติ ที่ปกป้องในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

บทสรุป : สำหรับการขับขี่ MAZDA CX-30 MY 2022 ต้องขอออกตัวว่าผมไม่ใช่ FC มาสด้าแต่อย่างใด เอาจริงๆ ไม่ค่อยถูกจริตกับรถหลายๆ รุ่นจากแบรนด์นี้ด้วยซ้ำไป แต่ทว่าสำหรับ CX-30 ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ทั้งการดีไซน์ภายนอก-ภายใน องค์ประกอบต่างๆ ของตัวรถ ผมว่าผู้ออกแบบค่อนข้างใส่ใจในรายละเอียด อาจจะไม่โดดเด่นในทุกด้าน แต่พอมารวมกันรู้สึกว่ามันลงตัวแบบที่ เฮ้ยขับแล้วโอเคว่ะ! ถ้าเป็นอาหารก็บอกเลยว่ารสชาติกลมกล่อมถูกปาก และออปชั่นก็จัดมาให้แบบคุ้มๆ ครบๆ แบบที่คู่แข่งไม่มี โดยเฉพาะเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ใส่มาแบบไม่กั๊ก
ส่วนความสะดวกสบายและการนั่งในห้องโดยสาร ผมว่าเบาะคู่หน้าก็ปกติดีนะแถมนั่งแล้วให้ความรู้สึกว่าคอนโทรลรถได้ง่ายด้วยซ้ำ ใครที่บอกนั่งไม่สบายวัดจากตรงไหน ผมลองขับตั้งหลายร้อยกิโลเมตรหวดยาวๆ แบบไม่จอดพักก็ยังไม่รู้สึกว่าอึดอัดหรือไม่สบายตัวนะ เว้นแต่คนร่างใหญ่นี่แหละที่อาจนั่งไม่โอเค สำหรับพื้นที่เบาะแถวสองว่าแม้ว่าดูแคบ เอาจริงๆ ก็แคบแหละ แต่ผมว่ารถประเภทนี้คนใช้ส่วนมากไม่ใชครอบครัวใหญ่หรอกครับ อย่างมากก็มีกันพ่อแม่ลูกสามคน หรือไม่ก็กลุ่มวัยรุ่นวัยทำงาน ดังนั้นโอกาสใช้งานเบาะหลังมีน้อยครับ คนขับจะเปลี่ยนไปนั่งเบาะหลังก็คงไม่ใช่ เว้นแต่นานๆ ทีมีเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องร่วมเดินทางไปด้วยเท่านั้น จุดนี้ผมว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง หากใครที่ไม่ซีเรียสกับขุมพลังเบนซินล้วน 2.0 ลิตร ไม่มีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วย ได้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยราวๆ 13-15 กม./ลิตร กับชั่วโมงนี้ที่ราคาน้ำมันแตะลิตรละ 40 บาทเข้าไปแล้ว บอกเลยครับว่า MAZDA CX-30 คันนี้เป็น น่าใช้จริงๆ ครับ