REVIEW : SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID ขับดีขึ้นกว่าเดิม เสริมด้วยหน้าใหม่ ภายในปรับเปลี่ยนบางจุด


มองที่ภาพรวมของเซกเมนต์รถยนต์อเนกประสงค์แบบ MPV 7 ที่นั่งขนาดเล็กในตลาดประเทศไทย ที่นำเข้ามาทั้งคันจากประเทศอินโดนีเซีย นับว่ามีการแข่งขันที่ค่อนข้างหนักหน่วงพอสมควร ด้วยเพราะมีหลายแบรนด์โดดเข้าร่วมวงเล่นกับตลาดในกลุ่มนี้ ซึ่งต่างเชื่อว่าสามารถเติมเต็มปริมาณยอดขายรวมได้ไม่น้อย ซึ่ง ซูซูกิ ก็เป็นหนึ่งที่ร่วมขบวนอยู่ด้วย และเรียกได้ว่าเป็นแบรนด์แรกๆ ที่มุ่งมั่นกับรถเซกเมนต์นี้ และล่าสุดได้เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด (Mild-hybrid) ภายใต้ชื่อรุ่นทำตลาดว่า “SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID” พร้อมอัพเกรดรายละเอียดตัวรถใหม่ในหลายๆ จุดให้มีความสดใหม่และคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

สำหรับ SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID มาพร้อมเทคโนโลยี SHVS เทคโลยีระบบสมาร์ทไฮบริดแบบใหม่ของซูซูกิ ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้า (Integrated Starter Generator หรือ ISG) พร้อมแบตเตอรี่ Lithium-ION ทำหน้าที่เพื่อช่วยเสริมกำลังการทำงานของเครื่องยนต์ และนับเป็นแบรนด์แรกนำที่เลือกใช้เครื่องยนต์แบบไฮบริดในรถกลุ่มนี้
ทำตลาดด้วยทางเลือก 2 รุ่นย่อย GL ราคา 783,000 บาท และ รุ่น GX ราคา 839,000 บาท โดยเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติทั้งหมด มีสีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีแดง (สีใหม่) Mellow Deep Red, สีขาว (Pearl Snow White), สีเทา (Metallic Magna Gray) และสีดำ (Cool Black Metallic)

คอลัมน์ Carternativethailand มีโอกาสได้นำรุ่น SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID GX สีใหม่มาทำการทดสอบและรีวิว โดยเน้นการขับขี่เสมือนใช้งานจริงอยู่ 1 วันเต็มๆ ครับ และก่อนที่เราจะพูดถึงสมรรถนะการขับขี่ ผมขออธิบายรายละเอียดออปชั่น-ฟังก์ชั่น และความเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในรถรุ่นนี้ก่อนครับ
เริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอกจากสิ่งที่เห็นได้จาก NEW SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID คือ ภาพรวมของตัวรถตลอดทั้งคัน หากมองผิวเผินๆ ต้องบอกว่ามีความคล้ายคลึงกับ SUZUKI ERTIGA รุ่นปกติมากครับ แต่เมื่อดูในรายละเอียดก็จะเห็นถึงจุดต่างอยู่มีหลายจุดด้วยกัน




จุดแรกเลยคือ แผงกระจังหน้าทั้งชุดดีไซน์ใหม่เลย เป็นแบบโครเมียม ชุดไฟหน้าเหมือนเดิมเป็นแบบโปรเจคเตอร์ แต่มีการเพิ่มเติมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ รวมถึงฟังก์ชั่น GuideMe (เวลาที่เราเดินไปที่รถในช่วงเวลาค่ำมืด ไฟหน้ารถจะสว่างให้อัตโนมัติ) ส่วนมุมกันชนหน้าซ้าย-ขวา ยังคงชุดไฟตัดหมอกทรงกลมแบบธรรมดายังไม่ใช่ LED เหมือนเดิม ขณะที่เสาอากาศมีก็มีการเปลี่ยนมาใช้แบบสั้นและอ้วนกว่า ERTIGA รุ่นปกติ



กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ มาพร้อมไฟเลี้ยวในตัวเหมือนรุ่นเครื่องยนต์ปกติ แต่เพิ่มเติมการพับเก็บออโต้มาให้ มือจับประตูมาในรูปแบบโครเมียมเพื่อเสริมความพรีเมียม ซึ่งมีเฉพาะรุ่น GX ส่วน GL สีเดียวกับตัวรถ ล้อแม็กดีไซน์เดิมแบบทูโทนขนาด 15 นิ้ว







มาดูกันต่อที่ไฟท้ายดีไซน์เดิมแบบ LED แบบ Light Guides และที่มุมขวาของฝาท้ายปิดทับด้วยเพลท สัญลักษณ์ Hybrid เพื่อบ่งบอกตัวตนว่าตอนนี้มีมอเตอร์เข้ามาช่วยแล้วนะ มาถึงจุดที่มีการเปลี่ยนในด้านท้าย คือ คิ้วโครเมียมที่ฝาท้าย หรือ คาดเอว ที่คนเล่นรถมักเรียก มีการย้ายตำแหน่งจากเดิมที่อยู่ใต้โลโก้ซูซูกิ ขยับมาอยู่ด้านบนโลโก้แทน เหนือขึ้นไปที่ชายหลังยังไม่มีสปอยเลอร์หลังมาให้เช่นเคย แต่มีการติดตั้งไฟเบรกดวงที่สามขนาดเล็กมาให้





ในส่วนของภายในห้องโดยสาร แน่นอนว่าจะให้เหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์ปกติคงไม่ใช่ ซึ่งก็มีการปรับรายละเอียดบางจุดเพื่อให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น จุดแรก คือ บริเวณคอนโซลด้านหน้าและแผงประตูมีการตกแต่งลายไม้สีเทา (ซึ่งเดิมเป็นสีน้ำตาล) และเมื่อมีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ชุดมาตรวัดจึงต้องปรับดีไซน์ใหม่ด้วยการเพิ่มกราฟฟิกการแสดงผลบนจอ LCD แสดงพลังงานแบตเตอรี่ การทำงานของระบบไฮบริด และสถานะข้อมูลสำคัญของตัวรถ ทั้งข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force พร้อมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อันนี้รวมๆ แล้วผมว่าดูดีขึ้นเยอะเลย
ส่วนตรงกลางของคอนโซลหน้าเป็นจอแสดงผลระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว (GL 7 นิ้ว) มาพร้อมฟังก์ชั่นเอนเตอร์เทนเมนท์ มีทั้งวิทยุ MP3 และ WMA พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน สามารถรองรับการใช้งาน USB และ HDMI และยังเป็นจอแสดงภาพเมื่อเราใช้งานเกียร์ถอยหลัง



อีกหนึ่งจุดที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ คือ พวงมาลัยทรง D-Shape หุ้มหนังทรงเหมือนเดิมก็จริง แต่มีการตกแต่งด้วยวัสดุลายไม้สีเทาที่บริเวณด้านในของวงพวงมาลัย (GL ไม่มี) เพื่อให้มันเข้าเซ็ตกับแผงแดชบอร์ดและแผงประตูนั่นเองครับ ส่วนที่ก้านพวงมาลัยก็เป็นสวิทช์มัลติฟังก์ชั่นควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control (GL ไม่มี) ควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มควบคุมระบบสั่งการโทรศัพท์บนพวงมาลัย และยังคงความสะดวกเวลาเข้า-ออกรถ ด้วย Keyless entry และ Keyless Push Start




ระบบปรับอากาศมาในรูปแบบอัตโนมัติเช่นเดิม (GL แอร์แบบธรรมดา) ให้ความเย็นสบายอย่างทั่วถึง ด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ถัดลงมามีช่องจ่ายไฟ Power Outlet 12 โวลท์ 1 ช่อง และ USB 1 ช่อง รวมทั้งยังเพิ่มออปชั่นแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายมาให้อีกด้วย (GL ไม่มี) พร้อมให้ความอเนกประสงค์ด้วยช่องวางเครื่องดื่ม 8 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งที่บริเวณคอนโซลเกียร์นั้นมีช่องเป่าลมเย็นมาให้ด้วย







เบาะ 3 แถว 7 ที่นั่ง เหมือนปกติ แต่มีการปรับเปลี่ยนลวดลายของผ้าหุ้มเบาะใหม่ และเบาะที่นั่งด้านหน้าคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ เบาะนั่งแถวสองปรับพับแยกเบาะแบบ 60:40 แถวที่สามแบบ 50:50 และสามารถเลื่อนสไลด์ได้ 240 มม. และเมื่อเปิดประตูบานท้ายขึ้นสุด ช่องประตูจะมีความกว้าง 980 มม. สูง 850 มม. ลึก 440 มม. เรียกว่าการจัดเก็บสัมภาระขนาดใหญ่ก็สามารถทำได้สะดวกสบายเลยครับ นอกจากนี้พื้นห้องเก็บสัมภาระยังเป็นลักษณะแบบ 2 ชั้น มีความลึก 170 มม. ขอบล่างของห้องเก็บสัมภาระสูงจากพื้น 715 มม. ทำให้สามารถจัดเก็บสัมภาระเล็กๆ อย่างรองเท้าได้อีกด้วย

ในด้านขุมพลัง นับเป็นไฮไลท์ของรถรุ่นนี้เลยก็ว่าได้ โดยยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินบล็อกเดิม รหัส K15B แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร แต่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ISG หรือ integrated starter generator เข้าไป ซึ่งทำหน้าที่แทนชุดไดชาร์จและมอเตอร์สตาร์ท ช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ ส่วนตัวแบตเตอรี่เป็นแบบ Lithium-ION ขนาดเล็กซึ่งติดตั้งอยู่ใต้เบาะผู้โดยสารตอนหน้า

โดยให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 138 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ทางโรงงานได้เคลมไว้ อยู่ที่ 17.9 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งการขับขี่จริงตัวเลขก็อาจน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรและลักษณะการขับขี่ของแต่ละบุคคล

รูปแบบการทำงานระบบไฮบริดของ NEW SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID นั้น มอเตอร์ ISG จะนำพลังงานที่ถูกกักเก็บไว้มาช่วยสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ หลังจากระบบ Auto Start/Stop ทำงานการติดเครื่องยนต์เป็นการใช้ไฟจากแบตเตอรี่ 12 โวลท์ และระหว่างที่รถยนต์ชะลอความเร็ว ISG จะช่วยสร้างพลังงานไฟฟ้าและกักเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ Lithium-ION และแบตเตอรี่ 12 โวลท์ ซึ่งพลังงานจะถูกหมุนเวียนมาช่วยในการทำงานของเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง


ในขณะเดียวกันพลังงานไฟฟ้าที่ถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ Lithium-ION ช่วงที่รถชะลอความเร็ว จะถูกดึงมาใช้ส่งต่อไปยังชุดมอเตอร์ ISG เพื่อเป็นกำลังเสริมเมื่อมีการเร่งเครื่องยนต์ ซึ่งถ่ายทอดกำลังผ่านชุดสายพาน แต่ก็จะทำงานในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น นอกจากนี้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ทั้ง 2 แบบ จะเป็นแหล่งจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในรถยนต์ ทั้งระบบปรับอากาศ เครื่องเสียง จอมาตรวัด และไฟแสงสว่างหรือไฟสัญญาณต่างๆ



โดยในช่วงเวลาที่ได้ทดลองขับขี่ รู้สึกได้ว่าในช่วงออกตัวนั้นรถทะยานออกไปได้แบบกระฉับกระเฉงขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ปกติ แม้ว่าจะไม่ถึงกับดึงแบบว้าว และแม้ทำงานในช่วงเวลาสั้นๆ (เมื่อความเร็วลอยตัวแบบนิ่งๆ แล้วระบบก็หยุดการทำงานทันที) แต่ผมมองว่ามันช่วยได้เยอะนะ ทำให้ขับขี่การมีอรรถรสขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง ที่สำคัญสิ่งที่ผมชอบมันทำงานได้แบบสมูทเลย เพราะใช้สายพานเป็นตัวส่งกำลัง ส่วนอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แม้ไม่สามารถทำได้เท่ากับตัวเลขที่โรงงานเคลมไว้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ประหยัด ใช้คำว่ากลางๆ ดีกว่า เพราะเอาจริงๆ คู่แข่งเกือบทุกค่าย ความสิ้นเปลืองก็ตกอยู่ราวๆ 14-17 กม./ลิตร อยู่แล้ว ไม่ทิ้งกันเยอะ และวันนี้ผมก็เจอทั้งรถติด ลองกดหนักดูอัตราเร่งในช่วงย่านความเร็วต่างๆ อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่อยู่บนหน้าจอของรถอยู่ที่ 15.6 กม./ลิตร กับระยะทางร่วม 100 กม.

ข้อดีของระบบ SMART HYBRID ยังไม่หมดแค่นั้นครับ ในจังหวะที่เราขับขี่ด้วยความเร็วคงที่หรือใช้ความเร็วสูงอยู่นั้น จะบอกว่าระบบหรืออุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถ ทั้งไฟหน้า ไฟเลี้ยว ระบบแอร์ หรือเครื่องเสียง นั้นใช้พลังไฟจากแบตเตอรี่ทั้ง 2 ลูก (แบตเตอรี่ในห้องเครื่องยนต์ และแบตเตอรี่ลิเธี่ยมใต้เบาะผู้โดยสารตอนหน้า) ซึ่งจากแบตเตอรี่เนี่ยก็ได้จากการรีชาร์จกลับเข้ามาเก็บจากช่วงที่เราชะลอความเร็ว นั่นหมายถึงว่า การทำงานเครื่องยนต์ก็โฟกัสไปที่การสร้างกำลังเท่านั้น จึงไม่ต้องแบกภาระในการช่วยผลิตไฟฟ้าส่งให้กับแบตเตอรี่หรืออุปกรณ์ไฟฟ้านั่นเอง สิ่งที่ตามมาให้ช่วยในเรื่องของการประหยัดเชื้อเพลิงที่มากขึ้น
อีกหนึ่งความโดดเด่นที่ยังคงอยู่ประสิทธิของการขับขี่ คือ แพลตฟอร์ม HEARTECT เทคโนโลยีเฉพาะของซูซูกิ อันนี้ต้องบอกเลยว่าเราอาจจะไม่รู้สึกว่ามันช่วยทำงานยังไงในจังหวะขับ อธิบายง่ายๆ มันทำงานตั้งแต่คุณสตาร์ทรถออกไปแล้ว คือ ด้วยแพลตฟอร์มแบบนี้มันถูกออกแบบให้น้ำหนักเบา ก็ส่งผลทำให้ลดภาระการทำงานของเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่าง ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น อีกทั้งลดอาการบิดตัวของรถช่วยให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างคล่องตัว และปลอดภัยนั่นเองครับ

ในด้านความปลอดภัย จัดออปชั่นที่จำเป็นต้องมีมาให้ ทั้งระบบถุงลมนิรภัย SRS คู่หน้า ระบบเบรก ABS ช่วยป้องกันล้อล็อกขณะเบรกกะทันหัน พร้อมระบบ EBD ระบบช่วยกระจายแรงเบรก เสริมด้วยระบบควบคุมเสถียรภาพในการทรงตัว ESP และการปรับแต่ง module ยังเหมาะกับการขับในเมืองด้วยระบบ Idling Stop ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่ง รวมทั้งระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน Hill Hold Control และกล้องมองภาพพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะในขณะถอยหลัง


ในส่วนของระบบช่วงล่างยังคงสเปกเดิมเหมือนกับรุ่นเครื่องยนต์ล้วน ด้านหน้าแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม คอยล์สปริง ซึ่งมีการปรับเซ็ตประสิทธิภาพให้รองรับการนั่ง 7 ตำแหน่ง อยู่แล้ว แต่ทว่านั่ง 2 คน ไม่ถึงกับนุ่มมาก แต่ไม่ถึงขั้นแข็งกระด้าง แต่ถ้ามีจำนวนคนนั่งมากขึ้นอีก หรือบรรทุกสัมภาระเข้ามา กลับรู้สึกได้ว่ามีคาแรคเตอร์ที่นุ่มนวลขึ้น

สำหรับการคอนโทรลรถ ตั้งแต่รุ่นปกติแล้ว ผมมองว่า SUZUKI ERTIGA ทำได้ดีมาตลอด การโยกเปลี่ยนเร็วด้วยความเร็วเดินทาง 90-100 กม./ชม. ยังควบคุมรถได้ง่าย แต่ก็ไม่ถึงกับนิ่งกริ๊บ ยังพอมีอาการโยนตัวบ้างเล็กน้อยให้รู้สึก แต่ไม่ถึงกับย้วยนะครับ อย่างไรก็ดียังมีอีก 1 จุดที่ผมมองว่าไม่ประทับเท่าที่ควร คือ จังหวะการคอนโทรลพวงมาลัย ทั้งช่วงการหมุนบังคับเลี้ยวหรือการหมุนคืนทิศทางเดิมนั้น รู้สึกว่าการตอบสนองไม่ธรรมชาติเท่าที่ควร ซึ่งถ้าปรับจูนได้ ผมว่าจะช่วยให้การขับขี่สนุกและมั่นใจเพิ่มขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

บทสรุปการขับขี่ขับและรีวิว : NEW SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID สิ่งที่มาควบคู่กับคำต่อท้ายว่า SMART HYBRID คือ อย่างแรกคุณจะได้รถ MPV 7 ที่นั่งขนาดเล็กที่ขับได้สนุกและประหยัดน้ำมันมากขึ้นอีกนิดนึง รวมถึงช่วยลดการปล่อยมลพิษ ช่วงล่างดีพอประมาณ ส่วนภายนอกได้ดีไซน์ด้านหน้าใหม่ ภายในได้ความเปลี่ยนแปลงบางจุดใหม่ และออปชั่นที่เพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้คุณจ่ายในราคา 839,000 บาท โอเคอีกมุมมองว่าออปชั่นสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าหลายๆ แบรนด์ราคาก็สูงไปเกือบแปดแสนบาทปลาย หรือแตะเก้าแสนบาทกันเลยทีเดียว แต่ถ้าคุณมองที่ให้มาในรถคันนี้มีเพียงพอแล้ว สมเหตุสมผลกับราคา ก็ถือว่าจัดได้เลยไม่เสียหายครับ