REVIEW : HONDA WR-V RS ขับสนุก คล่องตัว แต่ช่วงล่างไม่นุ่ม
ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี รถยนต์อเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง ขนาดกะทัดรัด ได้รับการพัฒนาจากทีมวิศวกรจาก บริษัท ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เอเชีย แปซิฟิค จำกัด ประกอบและนำเข้าทั้งคันจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งฮอนด้าวางตำแหน่งทางการตลาดให้รถที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่อย่างครอบคลุม มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อย ทำตลาด 2 รุ่น คือ SV ราคา 799,000 บาท และ RS ราคา 869,000 บาท
โดย Carternativethailand มีโอกาสได้ทดสอบ HONDA WR-V และเผยแพร่ในช่องทาง YouTube Channel ไปแล้ว https://www.youtube.com/watch?v=iK6MW6MDKRY&t=45s ครั้งนี้ทางทีมงานได้นำมาริวิวอีกครั้งผ่านทางเว็บไซต์ ซึ่งเป็นรุ่น RS สีใหม่ เงินสเตลลาร์ ไดมอนด์ สำหรับช่วงแรกขออธิบายในส่วนของรายละเอียดตัวรถและออปชั่นต่างๆ รวมถึงจุดแตกต่างของแต่ละรุ่นย่อยเป็นข้อๆ จะได้ง่ายต่อความเข้าใจครับ
สำหรับดีไซน์ภายนอกได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Vibrant and Bold” อธิบายง่ายๆ จากคอนเซ็ปต์คือ เน้นเส้นสายปราดเปรียว ตั้งแต่ไฟหน้าไปยังไฟท้าย ขณะเดียวกันก็ยังคงความแข็งแกร่ง ให้ภาพลักษณ์ที่สปอร์ตและพรีเมียมในทุกมิติ พร้อมกับมีการเสริมด้วยรายละเอียดต่างๆ ที่สะท้อนความเป็นเอสยูวีที่เรียบหรูและแข็งแกร่ง
รายละเอียดภายนอกรุ่น SV
• กระจังหน้าโครเมียม
• มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ
• ไฟหน้าพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED sequential และไฟ DRL แบบ LED และไฟท้ายแบบ LED
• ระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ
• กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับและพับไฟฟ้า
• ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบหน่วงเวลา และระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง
• เสาอากาศแบบครีบฉลาม
• ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
รายละเอียดภายนอกรุ่น RS
• กระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ RS
• ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED
• กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับและพับไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ
• ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว
รายละเอียดภายใน SV
• วัสดุตกแต่งภายในสีดำ Piano black และตกแต่งแถบสีเงิน
• พวงมาลัยหุ้มหนัง ตกแต่งด้วยด้ายสีน้ำเงิน ปรับระดับสูง-ต่ำได้
• แบบพับเบาะแถวหลัง 60:40 (ซ้ายหรือขวา)
• แบบพับเบาะแถวหลังทั้งหมด วัสดุที่ใช้กับเบาะที่นั่งให้สัมผัสนุ่ม
• มือจับประตูด้านในสีเงิน
• เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ วัสดุหุ้มเบาะหนังสังเคราะห์สีดำ ตกแต่งด้วยผ้าและด้ายสีน้ำเงิน
• กระจกมองหลังแบบตัดแสง
• กระจกไฟฟ้า 4 บาน พร้อมระบบปรับขึ้นลงอัตโนมัติด้านคนขับ
• ช่องเก็บของหลังเบาะผู้โดยสารด้านหน้า
• ที่วางแก้ว 6 ตำแหน่ง
• ที่แขวนของในพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย
• ไฟภายในห้องโดยสาร 2 ตำแหน่ง
• ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย
• ราวมือจับ 3 ตำแหน่ง
ราบละเอียยดภายในรุ่น RS
• วัสดุตกแต่งภายในสีดำ Piano black และตกแต่ง Piano black แถบสีแดง
• เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำได้ วัสดุหุ้มเบาะหนังสังเคราะห์สีดำ ตกแต่งด้วยผ้าและด้ายสีแดง
• พวงมาลัยหุ้มหนัง ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง ปรับระดับสูง-ต่ำได้
• คิ้วบันไดสเตนเลสที่ประตูหน้า พร้อมสัญลักษณ์ RS
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบทำความเย็นเร็วและโหมดทิศทางลม
• ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบทำความเย็นเร็วและโหมดทิศทางลมเพื่อความสะดวกสบาย
• กระจกมองหลังแบบตัดแสง
• กระจกไฟฟ้า 4 บานพร้อมระบบปรับขึ้นลงอัตโนมัติด้านคนขับ
• ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start)
• ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System)
• ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ (Honda Smart Key System)
• มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว
• ไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด (Eco Indicator)
• ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto
• ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth)
• Honda CONNECT ผ่านการทำงานของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน (รุ่น RS)
• พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
• ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift)
• ช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง
• ช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง
• ลำโพง 6 ตำแหน่ง
• ช่องเก็บของหลังเบาะผู้โดยสารด้านหน้า
• ที่วางแก้ว 6 ตำแหน่ง
• ที่แขวนของในพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย
• ไฟภายในห้องโดยสาร 2 ตำแหน่ง
• ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย
• ราวมือจับ 4 ตำแหน่ง
ทุกรุ่นย่อยมีการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ซึ่งมีการทำงานประมวลผลผ่านกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า เพื่อช่วยตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้
• ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
• ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
• ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
• ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
• ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control: ACC)
• ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
• ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (เฉพาะรุ่น RS)
• ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS)
• ถุงลมด้านข้างคู่หน้า (Side Airbags)
• ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) (รุ่น RS)
• ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock)
• ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)
• กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera)
• ระบบล็อกประตูรถอัตโนมัติตามความเร็วรถ (Auto Door Lock by Speed)
• ระบบเซ็นทรัลล็อกพร้อมสวิตช์ควบคุมตำแหน่งคนขับ
• ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
• เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่ง แบบดึงกลับอัตโนมัติ พร้อมเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารแถวที่ 2 แบบ 3 จุด 3 ตำแหน่ง
• ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer พร้อมสัญญาณกันขโมย
• สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
• ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)
• ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)
• ระบบป้องกันล้อล็อกและระบบกระจายแรงเบรก (ABS & EBD)
• โครงสร้างตัวถังนิรภัย G-CON และ ACETM ช่วยปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทาง
• จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX & Child Anchor)
• ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
ขุมพลัง
ทุกรุ่นย่อยใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน เป็นขุมพลังเบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ทำงานผสานกับระบบเกียร์ CVT ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ที่ 6,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดที่ 145 นิวตัน-เมตรที่ 4,300 รอบ/นาที โดยทางผู้ผลิตมีการเคลมอัตราการประหยัดน้ำมัน 16.7 กม./ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20
มุมมองและคอมเม้นท์หลังการใช้งาน
หลังจากเห็นคันจริงและได้ลองใช้งานจริงเสมือนเป็นรถตัวเองอยู่ 3 วัน ก็สรุปข้อมูลได้อย่างชัดเจน เริ่มกันที่สีตัวถัง ตามสเปกมีให้เลือก 5 สี คือสีใหม่ สีเงินสเตลลาร์ ไดมอนด์ (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) / หลังคาสีดำ (ทูโทน) (เฉพาะรุ่น RS) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า ส่วนตัวของผมมองว่าสีเงินสเตลลาร์ ไดมอนด์ (มุก) ซึ่งเป็นสีใหม่ถูกใจผมที่สุด คือ ชอบเพราะสีมันค่อนข้างแปลกและแตกต่างไม่เหมือนใคร และไม่เหมือนกับรุ่นพี่อย่าง HR-V ที่มีสีโทนนี้เหมือนกัน ในขณะที่เวลามีแสงตกกระทบก็จะให้โทนสีที่แตกต่างไปอีกด้วย
ตามมาด้วยเรื่องของดีไซน์ อันนี้ตามความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าสวยแต่ยังสวยไม่สุด เอาจริงๆ ผมว่ารถหลายรุ่นหลายค่ายที่ผลิตจากอินโดนีเซียมาอารมณ์แบบนี้ทั้งนั้น บางทีหน้าสวย แต่ส่วนอื่นไม่ผ่าน บางทีหน้าผ่านแต่ด้านข้างไม่สวย อะไรทำนองนี้ ซึ่ง WR-V นี้ก็เช่นกัน ซึ่งจะให้ดีผมว่าถ้าใครถ้าใครกำลังตัดสินใจ ต้องรุ่น RS เพราะดูมีทีเด็ดทีขาดในเรื่องของรูปแบบกระจังหน้า ดีไซน์ล้อแม็กทื่ใหญ่ถึง 17 นิ้ว และสวยลงตัวกว่า เข้ามาเสริม
ส่วนดีไซน์ด้านท้ายมีการเสริมด้วยสปอยเลอร์ขนาดกะทัดรัด ถัดลงมาเป็นไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED และอีกจุดที่เสริมความลงตัวให้กับรุ่น RS คือการแผงชายกันชน ที่เป็นพลาสติกสีเงินแที่มาพร้อมกับการคาดทับด้วยดีไซน์คล้ายกับแผงดิฟฟิวเซอร์เล็กๆ
ในส่วนของขนาดและมิติตัวรถ ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่าเป็นขนาดที่กำลังดีเหมาะต่อการใช้งานในเมืองมากๆ ให้ความคล่องตัวสูงไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเลนหรือขับเข้าไปในซอยแคบๆ บอกเลยครับเวิร์คมากๆ อีกทั้งด้วยความที่เป็นรถสไตล์ครอสโอเวอร์ ตัวรถจึงมีความสูงจากพื้นถึง 220 มม. แน่นอนมันสูงกว่ารถอีโคคาร์ทั่วไป ทำให้จุดนี้ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบและเหมาะสมกับการขับขี่บนถนนเมืองไทย ที่มีทั้งลูกระนาดตามหมู่บ้าน รอยต่อ-รอยปะซ่อมถนน บอกเลยครับว่ารูดสบายไม่ต้องกลัวใต้ท้องติด ส่วนหน้าฝนก็ไม่ต้องกังวลพวกน้ำรอระบายครับ
สำหรับจุดต่างภายนอกตัวรถของรุ่น RS เมื่อเทียบกับ SV ที่เห็นชัดๆ คือ RS ลวดลายกระจังหน้าแบบสปอร์ต และ RS มีไฟตัดหมอกมาให้ กระจกมองข้างพับเก็บอัตโนมัติ ล้อแม็กขนาด 17 นิ้ว น้ำหนักเยอะกว่า (1,143 กก.)
ขยับเข้ามาดูกันต่อที่ห้องโดยสาร ภาพรวมถือว่าดีไซน์ออกมาค่อนข้างดี มีมิติที่สวยงามเด่นชัดด้วยการเน้นความเข้มขรึมจากวัสดุห่อหุ้มที่ส่วนใหญ่เป็นสีดำ บริเวณด้านบนของแดชบอร์ดเป็นพลาสติกแบบเพียวๆ ไม่มีการห่อหุ้มหรือบุหนังแต่อย่างใด ถัดมาลงบริเวณด้านหน้าแดชบอร์ดที่หันเข้าหาผู้โดยสาร จุดนี้นับว่าสวยทีเดียวโดยออกแบบให้พื้นตรงกลางเว้าลงไปพร้อมกับหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีดำและเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดง นอกจากนี้ยังเพิ่มมิติมุมมองด้วยกรอบสีดำ Piano black และตกแต่งด้วยพลาสติกแถบสีแดง (รุ่น SV สีดำ Piano black และตกแต่งแถบสีเงิน)
ตรงกลางมีการติดตั้งหน้าจอมัลติมีเดียแบบ Buit-in ระบบสัมผัส Advanced Touch ขนาด 7 นิ้ว สามาถรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ได้ สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) รวมถึงมีระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT มาให้ (SV ไม่มี) มาพร้อมลำโพง 6 จุด (รุ่น SV 4 จุด) และจอดังกล่าวยังใช้แสดงภาพของระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) (SV ไม่มี) และกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ซึ่งภาพของระบบ Honda LaneWatch ผมว่ามันไม่ค่อยคมชัดเท่าที่ควร
ตัวเบาะนั่งนับว่าดีไซน์ออกมาดูดีไม่น้อย ด้านในบุมาค่อนข้างหนา ในส่วนของวัสดุหุ้มนั้น เป็นหนังสังเคราะห์ มีการตกแต่งด้วยผ้าลายดำแดงบริเวณด้านข้างของพนักพิงและด้านข้างของฐานเบาะ นอกจากนี้ยังให้อารมณ์สปอร์ตด้วยการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีแดงหลายจุด ไม่ว่าจะที่ขอบเบาะ รอยต่อเบาะ และตรงกลางของพนักพิงและฐานเบาะ (รุ่น SV หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ตกแต่งด้วยผ้าและด้ายสีน้ำเงิน)
ถามว่านั่งสบายไหม ตอบเลยครับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี เบาะจะมีความนิ่มพอสมควร ฝั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำ เลื่อนถอยหลัง-เดินหน้า ได้ ส่วนฝั่งผู้โดยสารได้แค่เลื่อนถอยหลัง-เดินหน้าเท่านั้น แต่ผมก็มีจุดที่ต้องคอนเมนต์เพิ่มเติม คือ บริเวณปีกเบาะที่หุ้มด้วยผ้า ในจุดนี้อาจทำให้รู้สึกดีเท่าไหร่ เนื่องจากผิวของผ้านั้นค่อนข้างหยาบ สำหรับคนรูปร่างใหญ่หรือท้วมก็นั่งได้สบาย ซึ่งหลายคนแอบกังวลว่าจากปีกเบาะที่สูงและใหญ่จะบีบลำตัวไหม บอกเลยไม่ต้องกังวลครับ เพราะพนักพิงกว้างอีกทั้งปีกเบาะค่อนข้างขยายออกมาด้านข้างเยอะอยู่สมควร
ขยับเข้ามานั่งที่เบาะหลัง ลวดลายและการห่อหุ้มเหมือนกับเบาะคู่หน้า ตรงกลางของพนักพิงสามารถง้างออกมาเป็นที่ท้าวแขนได้ พนักพิงศีรษะมี 3 ตำแหน่ง ปรับสูง-ต่ำได้ ซึ่งท่วงท่าการนั่ง กับคนระดับความสูงประมาณ 160-175 ซม. นั่งได้สบาย พนักพิงรองรับกับแผ่นหลังกำลังดี ไม่ยวบหรือแข็งเกินไป ส่วนฐานเบาะนับว่าซัพพอร์ตใต้ท้องขา รวมถึงเลก รูมยังมีพื้นที่ช่องว่างอยู่ หัวเข่าไม่ชิดกับด้านหลังของเบาะหน้า (เบาะคู่หน้าอยู่ตำแหน่งตรงกลาง) ตรงนี้นับว่าช่วยลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องนั่งในระยะทางไกลๆ เช่นกันกับระยะเฮดรูมยังมีระยะเหลือถึงฝ่ามือเต็มๆ เรียกว่านั่งสบายไม่อึดอัด
ด้านสมรรถนะการขับขี่จากขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า แรงบิด 145 นิวตัน-เมตร จากการได้ขับใช้งานเหมือนในชีวิตประจำวัน 3 วัน ผมเริ่มที่การขับขี่ย่านชานเมืองก่อน ทั้งนี้เพื่อรองในเรื่องของอัตราเร่ง มีคนนั่งทั้งหมด 2 คน รวมตัวผมด้วย โดยเริ่มที่การเติมคันเร่งในช่วงความเร็วลอยตัวอยู่ 90 กม./ชม. จากนั้นเติมความเร็วไปแตะที่ 120 กม./ชม. ซึ่งต้องบอกเลยว่า มาแบบเนียนๆ ครับ แม้ไม่ถึงกับดุดันกระโชกโฮกฮาก แต่ก็ถือว่าเพียงพอ โดยเฉพาะจังหวะที่ต้องการเร่งแซง หรือว่าหากจะเติมความเร็วต่อขึ้นไปอีกก็ไม่ได้ต้องเค้นขยี้มากมาย
ย้อนกลับมาที่การเทคตัวจากจุดหยุดนิ่งที่สเต็ป 0-90 กม./ชม. การทะยานตัวพุ่งออกไปไม่จัดจ้านมาก ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ ตรงกันข้ามเสียงเครื่องยนต์กลับคำรามออกมาค่อนข้างชัด จนความเร็วไหลมาถึง 60 กม./ชม. ต่อเนื่องไปถึง 90 กม./ชม. รู้สึกว่าการตอบสนองช่วงย่านนี้มาเร็วขึ้นกว่าในช่วงแรกครับ โดยได้ลองขับในรูปแบบดังกล่าวนี้อยู่หลายครั้งทีเดียว ซึ่งสิ่งที่สัมผัสได้คือผลออกมาในลักษณะเดียวกัน สรุปง่ายๆ คือ 0-60 กม./ชม. ออกตื้อๆ ไปนิด แต่พอถึง 60-90 กม.ชม. ลื่นไหลขึ้น อีกทั้งระบบเกียร์ก็ทำได้ค่อนข้างเรียบเนียนทีเดียว ส่วนอัตราสิ้นเปลืองในช่วงนี้หน้าปัดคำนวณออกมาอยู่ที่ราว 12-13 กม./ลิตร กับระยะทางประมาณ 40 กม.
เป็นขับในเมืองเป็นหลัก เจอทั้งรถติด และในเขตที่มีสภาพการจราจนคับคั่ง ซึ่งผมบอกเลยว่าการขับใช้งานในรูปแบบนี้ WR-V ค่อนข้างตอบโจทย์ ทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจน การเปลี่ยนช่องจราจรทำได้ง่ายสะดวก เบามือ มีความคล่องตัวอย่างยิ่งครับ ที่สำคัญการเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยก็ให้ความปลอดภัยเพราะในรุ่น RS มี Honda LaneWatch ทันทีที่เปิดไฟเลี้ยวซ้ายภาพด้านข้างก็ตัวรถขึ้นโชว์ทันที
ส่วนในเรื่องความต้องการพละกำลัง ในจังหวะการขับในย่านนี้ถือไม่ได้ใช้มากมายนัก ดังนั้นเรี่ยวแรงที่มีอยู่บอกเลยว่าเหลือเฟือ ส่วนอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ราว 14 กม./ลิตร สำหรับสมรรถนะของระบบช่วงล่าง ซึ่งพิสูจน์ได้จากใช้งานบนถนนที่อยู่ในเขตเมือง แต่ก็ต้องพูดตรงๆ คือ ถนนมีการซ่อมการปะค่อนข้างเยอะ บางช่วงเป็นฝาท่อเหล็กนูนเป็นสันขึ้นมา หรือไม่เป็นพื้นที่แตกร้าว แน่นอนครับว่าเวลาที่ขับผ่านไปบนเส้นทางเหล่านี้ รู้สึกว่าช่วงล่างดูดซับแรงได้ไม่เนียนเท่าไหร่ แรงสะท้อนจากผิวถนนถูกส่งขึ้นมาที่ห้องโดยสารแบบชัดเจน จึงรู้สึกว่าช่วงล่างนั้นกระด้าง โดยเฉพาะเมื่อนั่งในเบาะแถวสอง
ส่วนการยึดเกาะถนนในจุดนี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเลยครับ ขับแล้วมั่นใจ ช่วงหนึ่งผมได้ลองหักหลบเสมือนการเปลี่ยนเลนแบบฉุกเฉิน ด้วยความเร็ว 60-70 กม./ชม. สัมผัสได้ว่ารถยังคงรักษาการทรงตัวได้ดี หน้าไม่ล้นท้ายไม่ออก อีกทั้งการควบคุมพวงมาลัยก็ทำได้ไม่ยากครับ
สรุป : การขับขี่ HONDA WR-V RS การใช้งานในเมืองสะดวกคล่องตัว ขับง่ายและมีความปลอดภัย ส่วนการขับไกลใช้ความเร็วเดินทาง 100-120 กม./ชม บอกเลยขับสนุก อัตราเร่งตอบสนองได้ดี มีกำลังให้เร่งแซงอย่างเพียงพอ สำหรับช่วงล่างรู้สึกว่ากระด้างไปหน่อย แต่ยังคงประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและทรงตัวได้ดี อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แบบรวมๆ ทั้งในเมืองนอกเมืองตัวเลขใกล้เคียงที่เคลมไว้ราวๆ 14-15 กม./ลิตร เอาจริงๆ ก็ไม่ถือว่าประหยัดซะทีเดียว แต่ก็ไม่ซดจนเกินรับไหว ส่วนเรื่องความปลอดภัยเมื่อเทียบกับราคา ราคา 869,000 บาท ผมว่าไม่สมน้ำสมเนื้อ เพราะยังไม่ให้กล้องรอบคัน ระบบเตือนมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน หรือ Blind Spot และเตือนมุมอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA มาให้ ส่วนหน้าตาในความคิดเห็นส่วนตัวผม ก็อย่างที่เขียนอธิบายไปในตอนแรก คือ สวยหรือว่าหล่อไม่สุด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความส่วนตัวของแต่ละบุคคลครับ
อย่างไรก็ดีครับ ทั้งหมดนี้อย่าเพิ่งเชื่อผมนะครับ สำหรับคนที่สนใจหรือกำลังเล็งๆ รถรุ่นนี้อยู่ อยากให้ไปลองจับ ลองขับ ลองเล่นหรือใช้งานกับฟังก์ชันที่มีอยู่ในรถคันนี้ด้วยตัวคุณเอง ดูสิว่าถูกจริต ถูกใจไลฟ์สไตล์การใช้งานของคุณมากน้อยแค่ไหน ที่สำคัญมันสมเหตุสมผลกับ Butget ที่ได้ตั้งไว้หรือเปล่า