MITSUBISHI XPANDER CROSS ไมเนอร์เช้นจ์ ปรับดีไซน์หลายจุด เติมระบบ AYC ขับขี่มั่นใจขึ้น
ในชั่วโมงนี้หากใครกำลังมองหารถยนต์ประเภทมินิ MPV 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่มีความอเนกประสงค์ไว้ใช้งานสักคัน ต้องบอกเลยครับว่า ตลาดในประเทศไทยนั้น หลายแบรนด์รถยนต์ต่างก็มีผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นตัวเลือกมากมาย โดยส่วนใหญ่เป็นรถที่ประกอบและนำเข้ามาจากอินโดนีเซียแทบทั้งสิ้น และระดับราคาก็มีตั้งแต่ 6 แสนบาทกลางๆ ไปจนถึงระดับ 9 แสนบาทปลาย ซึ่งไม่เพียงเรื่องราคาที่เป็นองค์ประกอบสำคัญเท่านั้น ในส่วนของออปชั่น-ระบบความปลอดภัย คุณภาพการประกอบ ก็กลายเป็นตัวชี้วัดในการตัดสินใจด้วยเช่นกัน
โดยในฝั่งของมิตซูบิชิที่ผ่านมาหลายปี ก็มีรุ่นชูโรงอย่าง XPANDER ที่ได้รับความสนใจจากแฟนๆ และผู้ใช้ไม่น้อย ล่าสุดมีการปรับโฉมแบบไมเนอร์เช้นจ์ให้กับ XPANDER CROSS ซึ่งการกลับมาครั้งนี้บอกเลยไม่ธรรมดา ทั้งหน้าตา ดีไซน์ ออปชั่น มีการปรับเพิ่มใหม่ ที่สำคัญราคาก็ไม่เบาด้วยเช่นกัน
วันนี้ Carternativethailand ได้นำมารีวิวเป็นข้อมูลให้ท่านผู้อ่านกันอีกครั้ง ซึ่งจะขอเรียบเรียงรายละเอียดออปชั่นและความเปลี่ยนแปลงให้เห็นเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจครับ
สำหรับราคา Xpander Cross 1.5 ไมเนอร์เช้นจ์ มีรุ่นย่อยเดียว ราคา 946,000 บาท โดยมีการเพิ่มทางเลือกสำหรับรุ่นหลังสีดำ Black Roof 2-Tone ซึ่งต้องเพิ่มเงินจากราคาตัวรถไปอีก 20,000 บาท
เริ่มกันที่รายละเอียดความเปลี่ยนแปลงภายนอกเมื่อเทียบกับ Xpander Cross รุ่นเดิม
– ดีไซน์ด้านหน้าปรับใหม่
– ดีไซน์ด้านหลังปรับใหม่
– ไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่
– ล้อแม็ก ขนาด 17 นิ้ว ลายใหม่
รายละเอียดความเปลี่ยนแปลงห้องโดยสารเมื่อเทียบกับ Xpander Cross รุ่นเดิม
– แผงแดชบอร์ดด้านหน้าดีไซน์ใหม่
– พวงมาลัยดีไซน์ใหม่ 4 ก้าน แบบเดียวกับปาเจโร่ สปอร์ต ปรับได้ 4 ทิศทาง
– ชุดมาตรวัดเป็นแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว
– หน้าจอเครื่องเสียงใหม่ เป็นขนาด 9 นิ้ว พร้อมระบบสัมผัส Touchscreen
– เครื่องปรับอากาศ พร้อมหน้าจอแสดงผลดิจิตอล และฟังก์ชั่น Max Cool
– เพิ่ม Wireless Charger
ปรับรายละเอียดในส่วนของการขับขี่
– ปรับการตอบสนองของพวงมาลัยใหม่
– เปลี่ยนช็อกอัพใหม่
– เพิ่มระบบ Active Yaw Control (AYC)
ปรับมิติตัวรถ
ความยาว : 4,595 มม. (เพิ่มขึ้น 95 มม.)
ความกว้าง : 1,790 มม. (ลดลง 10 มม.)
ความสูง : 1,750 มม.
ความยาวฐานล้อ : 2,775 มม.
ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ : 220 มม.
สีตัวถังมีให้เลือก 6 สี
– เขียว Green Bronze
– ขาว Quartz White Pearl
– เงิน Blade Silver
– เทา Graphite Gray
– เขียว หลังคาดำ Green Bronze 2-Tone
– ขาว หลังคาดำ Quartz White Pearl 2-Tone
ขุมพลังเดิม
เครื่องยนต์เดิม เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว วาล์วแปรผัน MIVEC ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 105 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า ความจุถังน้ำมัน 45 ลิตร รองรับน้ำมัน E20
รายละเอียดอุปกรณ์-ฟังก์ชั่น ภายนอก
– ไฟหน้าแบบ LED
– ไฟหรี่ไฟหน้าแบบ LED
– ไฟตัดหมอกคู่หน้า
– ไฟหรี่ไฟท้ายแบบ LED Illumination Tube
– ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
– กระจกบังลมหน้าแบบป้องกันเสียงรบกวน
– สปอยเลอร์หลัง
– กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับและพับด้วยไฟฟ้า
– มือเปิดประตูภายนอกโครเมียม
– คิ้วขอบหน้าต่างภายนอกแบบโครเมียม
– เสาอากาศแบบครีบฉลาม
– ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้า – ด้านหลัง แบบหน่วงความเร็ว
– ระบบไล่ฝ้ากระจกบังลมหลัง
อุปกรณ์-ออปชั่น ภายในห้องโดยสาร
– ชุดมาตรวัดเป็นแบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว
– สัญลักษณ์แสดงการขับขี่แบบประหยัด Eco Drive
– กระจกหน้าต่างไฟฟ้า พร้อมระบบ One-touch ฝั่งคนขับ
– พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก)
– พวงมาลัยและหัวเกียร์ หุ้มด้วยหนัง
– สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียง สวิตซ์รับสาย-โทรออก บนก้านพวงมาลัย
– ระบบกุญแจอัจฉริยะ Keyless Operation System
– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
– ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start
– เครื่องปรับอากาศ พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Digital (ไม่ใช่อัตโนมัติ)
– ฟังก์ชั่นปรับความเย็นระดับสูงสุด Max Cool
– ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมสวิตซ์ปรับแรงลมแยกส่วน
– ราวมือจับเหนือศีรษะ 5 ตำแหน่ง
– ถาดเก็บของใต้เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า แบบ 2-Way
– หน้าจอมัลติมีเดีย – ภาคบันเทิงระบบสัมผัส ขนาด 9 นิ้ว
– รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth
– รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto
– ลำโพง 6 ตำแหน่ง
– ช่องเชื่อมต่อความบันเทิงแบบ USB 1 ตำแหน่ง
– ช่อมชาร์จอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับเบาะนั่งแถว 2 แบบ USB-A และ USB-C
– ช่องจ่ายไฟ Power Outlet DC 12V บริเวณคอนโซลหน้า และเบาะนั่งแถวที่ 3
– เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุแบบสะท้อนความร้อน (Heat Guard) สีดำ
– เบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยมือ 6 ทิศทาง
– เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับด้วยมือ 4 ทิศทาง
– เบาะนั่งแถวที่ 2 แยกพับ 60 : 40 พนักพิงยกพับ 40 : 20 : 40 ปรับเอนและพับไปด้านหน้าได้ เลื่อนหน้า – ถอยหลังได้
– เบาะนั่งแถวที่ 3 แยกพับ 50 : 50 พนักพิงปรับเอนได้
ระบบความปลอดภัย
– เบรกมือไฟฟ้าพร้อม Brake Auto Hold
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD
– ระบบเสริมแรงเบรก BA
– ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ASC
– ระบบป้องกันการลื่นไถล TCL
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
– ระบบไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ESS
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
– กล้องมองภาพขณะถอยจอด
– เข็มขัดนิรภัย ELR แบบ 3 จุด ทั้ง 7 ที่นั่ง
– กุญแจ Immobilizer
– สัญญาณกันขโมย Security Alarm
– ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ Speed Sensing Door Locking
– ระบบป้องกันการเปิดประตูจากภายใน Child Protection Rear Doors Lock
– ระบบเตือนคาดเข็มขัดเบาะนั่งคู่หน้า
– ไฟส่องสว่าง Welcome & Coming Home Light
เพิ่มความมั่นใจกว่าเดิมกับเทคโนโลยี Active Yaw Control
MITSUBISHI XPANDER CROSS ไมเนอร์เช้นจ์ นอกจากมีการปรับดีไซน์ภายนอกและเพิ่มออปชั่นความสะดวกสบายในห้องโดยสารแล้ว ในด้านการขับขี่ยังมีการเพิ่มระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้งที่ชื่อว่า AYC (Active Yaw Control) เข้ามาอีกด้วย
โดยระบบดังกล่าวทำหน้าที่ช่วยควบคุมแรงการขับเคลื่อน และแรงเบรกระหว่างล้อซ้ายและล้อขวา ช่วยให้รถเกิดความสมดุล และทำให้รถสามารถยึดเกาะถนนมากขึ้น เมื่อผู้ขับเลี้ยวบนถนนลื่น ช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ เรามีโอกาสได้ทดสอบกันมาแล้ว ดูลิงค์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=E7lDsFRBj5U&t=135s
บทสรุปการรีวิว : สำหรับการปรับโฉมไมเนอร์เช้นจ์ครั้งนี้ของ MITSUBISHI XPANDER CROSS ต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะไม่เพียงแค่ปรับดีไซน์ที่ดูสดใหม่ ไม่ตกเทรนด์แล้ว การเก็บรายละเอียดและคุณภาพการประกอบ ผมว่าค่อนข้างเนียนกว่าคู่แข่งเกือบทุกเจ้า ขณะที่การขับขี่ผมบอกได้แบบไม่อวยเลยว่าเป็นรถที่ขับดีกว่าชาวบ้านด้วยเช่นกัน และเมื่อบวกกับระบบ AYC ที่เพิ่มมา จุดนี้ผมว่ายิ่งเพิ่มคะแนนในการขับขี่ไปอีกขั้น แม้ว่าไม่ใช้รุ่นออกใหม่ทั้งคัน มีออปชั่นแน่นๆ ล้นๆ เหมือนแบรนด์เจ้าตลาด แต่ภาพรวมผมยังมอง MITSUBISHI XPANDER CROSS ไมเนอร์เช้นจ์ ก็ยังเป็นทางเลือกสำคัญที่ไม่ควรตัดทิ้ง แม้ว่าราคาจะสูงกว่ารถคู่แข่งที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ก็ตาม