Test Drive : TOYOTA FORTUNER LEGENDER 2.8 4WD ขุมพลังเดิม เติมออปชั่น ปรับโช้คอัพใหม่ เฟิร์มขึ้นแต่ไม่ทิ้งความนุ่ม

0
IMG_8974

โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปิดตัวทำตลาด PPV ยอดนิยมอย่าง FORTUNER LEGENDER โมเดลปี 2023 ในประเทศไทย 4 รุ่นย่อยเหมือนเดิม โดยมาพร้อมการเติมออปชั่นที่คาดว่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น ทั้งระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง TPMS รวมถึงช่วงล่างมีการปรับจูนโช้คอัพใหม่ พร้อมปรับราคาเพิ่มขึ้น 15,000 บาท สำหรับราคาในรุ่น 2.4 6AT 2WD 1,618,000 บาท, รุ่น 2.4 6AT 4WD 1,688,000 บาท, รุ่น 2.8 6AT 2WD 1,810,000 บาท และ รุ่น 2.8 6AT 4WD ราคา 1,874,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่เราได้นำมาทดสอบในคอลัมน์นี้ และก่อนที่จะไปบรรยายถึงรายละเอียดการขับขี่ เราขอย้อนรายละเอียด สเปค-ออปชั่นที่ติดตั้งมาให้ทราบดังนี้ครับ

รายละเอียดอุปกรณ์ภายนอก Toyota Fortuner Legender

– กระจังหน้าสีดำเงา
– ชุดตกแต่งกันชนหน้า สีเงิน
– บันไดข้างสีดำ
– ไฟหน้า Dual Projector Lens แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ
– ไฟหน้า Follow-me-home
– ปรับระดับไฟหน้า สูง-ต่ำ อัตโนมัติ
– ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED
– ไฟท้าย LED พร้อมเส้นไฟ Light Guiding
– ไฟตัดหมอกด้านหลัง
– ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
– ไฟเลี้ยว ด้านหน้า-ด้านหลัง LED แบบ Sequential
– กระจกมองข้างสีดำปรับและพับด้วยไฟฟ้า
– กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว
– ระบบไฟ Welcome Light ที่กระจกมองข้าง
– มือเปิดประตูแบบโครเมียม


– ฝาท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันการหนีบ
– ระบบเปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าแบบ Kicks Sensor Hands-Free Tailgate
– ราวหลังคา
– สปอยเลอร์หลัง
– ปลายท่อไอเสียแบบสแตนเลส
– เสาอากาศแบบครีบฉลาม Shark Fin
– ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว
– ยางขนาด 265/50 R20

มิติตัวรถ ยาว 4,795 มม. x กว้าง 1,855 มม. x สูง 1,835 มม. ระยะต่ำสุดจากพื้น 193 มม.

รายละเอียดและอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร Toyota Fortuner Legender

– ภายในห้องโดยสารโทนสีดำ
– วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร ลายไม้ Galaxy Black พร้อมแถบสีเงิน
– แผงแดชบอร์ดหน้าบุนุ่มหุ้มด้วยหนังสีทูโทน ขาว-ดำ (เฉพาะรุ่น 2.8 4×4)
– ช่องแอร์ด้านหน้าตกแต่งด้วยแถบสีเงินและโครเมียม
– พวงมาลัยหุ้มด้วยหนังปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง และเข้า-ออก)
– แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift หลังพวงมาลัย
– ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start
– ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry
– ระบบล็อกรถอัตโนมัติตามความเร็ว Speed Auto Lock
– แผงควบคุมกระจกหน้าต่างตกแต่งด้วยสีดำเมทัลลิค
– มือเปิดประตูภายในโครเมียม
– แผ่นบังแดดคู่หน้าพร้อมกระจกและไฟส่องสว่าง
– มือจับภายในห้องโดยสาร 8 ตำแหน่ง
– ไฟ Ambient Light
– ไฟส่องสว่างที่ประตู 4 บาน
– หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง
– เบรกมือหุ้มด้วยหนังขาว-ดำ
– มาตรวัดเรืองแสง Optitron
– หน้าจอแสดงข้อมูล MID แบบสี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว
– ฟังก์ชั่นแสดงองศาการเลี้ยวล้อหน้า Tire Turning Angle
– กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ
– ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone
– ระบบกรองอากาศ PM 2.5
– สวิตซ์ควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง
– ช่องเก็บของด้านบน แบบรักษาความเย็น Cool Box
– ช่องชาร์จไฟ 12V 2 ตำแหน่ง
– ช่องชาร์จไฟ AC 220V 1 ตำแหน่ง
– ช่องชาร์จไฟ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง
– หน้าจอเครื่องเสียง ระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว
– สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
– รองรับระบบ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
– ระบบเสียง JBL Premium Audio พร้อมพาวเวอร์แอมป์
– ลำโพง 11 ลำโพง รวม Sub Woofer
– ระบบเชื่อมต่อ T-Connect

ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่

– ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
– ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
– ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
– ม่านถุงลมนิรภัย
– ถุงลมนิรภัยหัวเข่าคนขับ
– ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS
– ระบบกระจายแรงเบรก EBD
– ระบบเสริมแรงเบรก BA
– ระบบควบคุมการทรงตัว VSC
– ระบบป้องกันการลื่นไถล TRC
– ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC
– ระบบควบคุมส่วนพ่วงท้าย TSC
– ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC
– ระบบควมคุมเฟืองท้าย Auto Limited Slip Differential
– ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง – กล้องรอบคัน PVM พร้อมมุมมองแบบ 3D

เทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense

– ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control
– ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Alert พร้อมระบบช่วยดึงพวงมาลัยกลับ Steering Assist
– ระบบความปลอดภัยด้านหน้า Pre-Collision System
– ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง Blind Spot Monitor
– ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ Rear Cross Traffic Alert

สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 3 สี

– สีดำ Attitude Black Mica
– สีขาวหลังคาดำ Platinum White Pearl + Black Roof (เพิ่มเงิน 20,000 บาท)
– สีแดงหลังคาดำ Emotional Red + Black Roof (เพิ่มเงิน 20,000 บาท)

ขุมพลังดีเซล เทอร์โบ 2 พิกัดทางเลือก

เครื่องยนต์รหัส 2GD-FTV ดีเซล DOHC 16 วาล์ว ขนาด 2.4 ลิตร 2,393 ซีซี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด i-ART ผ่านราง Commonrail พ่วงด้วยเทอร์โบแปรผัน (VN) พร้อมพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,000 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 2WD และขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD ความจุถังเชื้อเพลิง 80 ลิตร

เครื่องยนต์รหัส 1GD-FTV ขนาด 2.8 ลิตร 2,755 ซีซี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด i-ART ผ่านราง Commonrail พ่วงด้วยเทอร์โบแปรผัน (VN) พร้อมพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 – 2,800 รอบ/นาที ระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง 2WD และขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD ความจุถังเชื้อเพลิง 80 ลิตร

ระบบเบรกและระบบกันสะเทือน

ระบบช่วงล่าง ด้านหน้า อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลงและโช้กอัพที่ปรับสเปกเฉพาะรุ่น Fortuner Legender ส่วนด้านหลังโฟร์ลิงค์ คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง โช้กอัพที่ปรับสเปกเฉพาะรุ่น FORTUNER LEGENDER ระบบบังคับเลี้ยวแร็คแอนพีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบ VFC รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 เมตร ระบบเบรก ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ

ภาพรวมภายนอก-ภายใน

สำหรับรูปร่างหน้าตาเดินสำรวจๆ รอบคัน เรียกว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดครับ ยังคงรายละเอียดเหมือนกับดีไซน์ของปี 2022 โดยยังคงติดตั้งไฟหน้า Full LED แบบ Dual Projector พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Lights, ระบบไฟเลี้ยวแบบ Sequential, หลังคาดำดีไซน์พรีเมียม, ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และสัญลักษณ์ LEGENDER

สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ของรุ่น LEGENDER ก็ประกอบด้วย ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อม Follow-me-home, ระบบปรับไฟหน้าสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ไฟท้ายแบบ LED Light Guiding พร้อมไฟเลี้ยวแบบ Sequential, กระจกมองข้างปรับ-พับเก็บด้วยไฟฟ้า พร้อม Welcome Light, ประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าพร้อมชุดเซนเซอร์เปิดฝาท้ายแบบ Kick Activated, ราวหลังคา และที่ปัดน้ำฝนแบบปรับตั้งเวลา

ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งเบาะสีทูโทนขาว-ดำ ตกแต่งด้ายสีเทา ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ของรุ่น LEGENDER ประกอบด้วย เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Android Auto,ได้แบบไร้สาย (เพิ่มเข้ามา) ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth, ระบบ T-Connect, ชุดเครื่องเสียง JBL (เฉพาะรุ่น 2.8), ระบบชาร์จไฟไร้สาย Wireless Charger, มาตรวัดเรืองแสงแบบ Optitron ดีไซน์เฉพาะรุ่น LEGENDER, จอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT, กล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor) พร้อมมุมมองแบบ 3D View และช่องจ่ายไฟ 220 โวลต์

โดยรอบนี้ครับมีการเพิ่มออปชั่นมา 2 จุด คือการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto เป็นแบบไร้สายไม่ต้องวุ่นวายกับการเสียบสายแล้วครับ ไม่งั้นก็จะไปแย่งพอร์ต USB อีก ส่วนอีกจุดคือระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง TPMS อันนี้ก็ดีครับ แต่ผู้ขับต้องกดเข้าไปดูเองนะ ซึ่งคู่แข่งบางยี่ห้อเนี่ย ถ้าแรงดันมันเกิดความผิดปกติมันก็จะโชว์ให้ผู้ขับทราบทันทีเลยครับ

เบาะแถวสามยังเป็นจุดที่หลายคนรวมถึงเราด้วยคอมเพลนมาตั้งแต่รุ่นก่อนไมเนอร์เช้นจ์จนถึงรุ่นปัจจุบัน โดยเฉพาะกับการกาง-ปรับพับเก็บ ถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างไม่สะดวกสบาย และมีน้ำหนักมาก และเราก็มองว่าหากคุณผู้หญิงต้องการจะพับเก็บหรือยกกางลงทำได้ยากลำบากเพราะมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะ ผนวกกับตัวรถค่อนข้างสูง ดังนั้นการใช้งานฟังก์ชั่นนี้จึงเป็นอะไรที่ไม่เหมาะกับคนตัวเล็กหรือคุณผู้หญิงอย่างมากครับ

ช่วงทดสอบขับขี่

สำหรับสมรรถนะการขับขี่ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นสำหรับเจ้าคุกกี้หรือ FORTUNER ขุมพลัง 2.8 รวมถึง LEGENDER คันนี้ด้วย แม้ว่ายังไม่ถึงขั้น 224 แรงม้า เหมือนกับเวอร์ชั่น GR Sport แต่ทว่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวรถที่มีน้ำหนักถึง 2 ตันกว่า เรี่ยวแรง 204 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร บอกเลยครับว่าเหลือใช้ การออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง 0 ไปจนถึง 100 กม./ชม. ในโหมด D Normal รถพุ่งทะยานออกไปแบบเนียนๆ ไม่รู้สึกว่าอืดอาดยืดยาด จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทำได้ค่อนข้างเร็ว ใช้เวลาอยู่ราวๆ 10.80 – 10.90 วินาทีกว่าๆ ครับ ส่วนในย่านความเร็วเดินทาง จากจังหวะลอยตัวอยู่ที่ 80 กม./ชม. และต้องการเติมความเร็วต่อไปถึง 120 กม./ชม. ก็ทำได้มั่นใจ เพราะบางทีในการขับขี่ทางไกล ถือว่าเป็นช่วงที่เราใช้เร่งแซงครับ จาก 80-120 กม./ชม. ใช้เวลาอยู่ราวๆ 7.6 – 7.7 วินาที

ในส่วนของฟิลลิ่งช่วงล่าง ถ้าใครเคยขับรุ่นก่อนหน้านี้ก็จะจำความรู้สึกได้อย่างแน่นอน ผู้ทดสอบเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะในจังหวะที่ต้องเปลี่ยนเลนฉุกเฉินหรือจังหวะที่สาดโค้งแรงๆ คือรถจะมีอาการโยนตัวโคลงเคลงค่อนข้างมาก ใครที่เมารถแล้วนั่งหลังบอกเลยว่าไม่รอด แต่ในทางตรงกันข้างรู้สึกว่ามันนุ่มดี ขับทางตรงๆ เนี่ยนั่งสบายเลยขอบอก แต่ก็แอบเหวอเวลาที่ต้องเข้าโค้งหรือเปลี่ยนช่องทางนี่แหละ ซึ่งเดาว่าทีมวิศวกรโตโยต้าเองก็ทราบปัญหาหรือฟีตแบ็คจากลูกค้าพอสมควร ดังนั้นในโมเดลปี 2023 นี้ จึงทำการบ้านกันใหม่ด้วยการเซ็ตค่าโช้คอัพทั้งด้านหน้าและหลัง โดยโช้คของ LEGENDER นั้นเป็นแบบ Twintube (GR Sport เป็น Monotube) ทีมวิศวกรอธิบายว่ามันจะหนึบขึ้น ช่วยให้การทรงตัวของรถมีประสิทธิภาพและมั่นใจกว่าเดิม แต่ทว่าความนุ่มแล้วถือว่ามีความใกล้เคียงกับรุ่นเดิม

ซึ่งหลังจากที่ได้ลองขับทั้งในโค้งกว้างๆ และโค้งต่อเนื่อง รวมทั้งการขับเปลี่ยนเลนแบบฉุกเฉินคือ เออจริงอย่างที่เค้า (วิศวกร) ได้แจ้ง รู้สึกว่ารถมั่นนิ่งขึ้น เฟิร์มแน่นขึ้น อาการโยนตัวถามว่ายังมีไหม ตอบเลยว่ายังมีนะ แต่ว่าน้อยลงกว่าเดิมแน่นอน ซึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าขับขี่ได้สบายใจ อาการเหวอไม่ตามหลอนเหมือนที่เจอในรุ่นก่อนหน้า แต่ถามว่าหนึบเท่า GR SPORT ไหม ผมบอกเลยว่ายังห่างพอสมควร ถามว่าเซ็ตแบบ GR ได้ไหม วิศวกรโตโยต้าบอกว่าได้ครับ แต่ด้วยรถที่อยู่คนละทาเก็ตกัน คาแรคเตอร์จึงแตกต่างกันไปด้วย แต่หากถามเรื่องความนุ่มนวลอันนี้ดีเลย ตัวรถเก็บแรงสะท้อนจากพื้นผิวได้ดี ทั้งถนนต่างระดับหรือว่าหลุมบ่อเนี่ยรูดสบายๆ ลำไส้ไม่คลอนแน่นอน

สำหรับอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง การกับทดสอบขับทั้งแบบปกติและไม่ปกติ ปกติคือ ขับด้วยความเร็วตามสภาพจราจรและถนนในเมืองไทย ซึ่งเจอสภาพจราจรที่หลากหลาย ไม่ว่ารถติดในเมืองและใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายกำหนดบนทางด่วน ส่วนการขับแบบไม่ปกติ คือ ใช้ความเร็วเพื่อลองอัตราเร่งในพื้นที่ปิดประมาณ 10 รอบ โดยระยะการขับทั้งสองรูปแบบทางรวม 250 กม. อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยจากหน้าจอของรถอยู่ที่ 10.8 กม./ลิตร จะบอกว่าประหยัดก็คงไม่ใช่ แต่ถามว่ารับประทานเยอะเกินไปไหม จะบอกแบบนั้นก็ดูไม่ยุติธรรมสักกับเจ้าคุกกี้เท่าไหร่ เพราะด้วยขนาดรถและพละกำลังรวมถึงการขับในรูปแบบต่างๆ ผมว่ามันก็สมเหตุสมผลพอจะเข้าใจได้กับตัวเลขที่ออกมา

ส่วนเรื่องราคาค่าตัวอันนี้ต้องบอกเลยครับว่า สูงเอาเรื่องพอสมควร โดย TOYOTA FORTUNER LEGENDER 2.8 4WD ราคาอยู่ที่ 1,874,000 บาท ซึ่งถูกกว่า TOYOTA FORTUNER GR SPORT อยู่ราว 65,000 บาท และเมื่อเทียบคู่แข่งอย่าง FORD EVEREST รุ่นท็อปแล้ว ก็ถูกกว่า 25,000 บาท แต่ด้วยความที่เป็นเจ้าตลาดแน่นอนครับ ก็เป็นในเรื่องของความเชื่อถือที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงความมั่นใจ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ถึงได้ทำราคาให้อยู่ในระดับนี้และที่สำคัญยอดขายก็ไม่แผ่วลงเสียด้วย เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งเชื่อแบบสนิทใจ ยังไงแนะนำให้ไปลองขับด้วยตัวเองที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศไทยครับ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *