TEST DRIVE : NISSAN TERRA 2.3 VL 4WD SPORT ถึงไม่เจ๋งสุด แต่คุ้มค่าที่สุดเมื่อเทียบกับราคา

0
IMG_870501

ปัจจุบัน นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ทำตลาด TERRA รถยนต์พีพีวี 3 แถว 7 ที่นั่ง รวมทั้งหมด 4 รุ่นย่อย รุ่นเริ่มต้นคือ E 2WD ถัดมาเป็น VL 2WD และ VL 4WD โดยมีรุ่นท็อปใหม่เป็น VL 4WD 7AT SPORT ซึ่งราคาบวกเพิ่มขึ้นจากรุ่น VL 4WD ไปอีก 36,000 บาท และในคอลัมน์นี้ Carternativethailand มีโอกาสได้นำมาทดสอบอีกครั้งหลังจากที่เคยพรีวิวไปแล้วทางช่องยูทูป https://youtu.be/ChCCBO-BXAE?si=Pb6h2hCMys_ck9gK เพื่อให้คุณพูดอ่านที่กำลังให้ความสนใจรถรุ่นนี้ ได้นำเอาไปข้อมูลในการเปรียบเทียบหรือว่าใช้ประกอบในการตัดสินใจครับ

รายละเอียดภายนอก

ในเรื่องของดีไซน์ภายนอก สำหรับนิสสัน เทอร์ร่า สปอร์ต ต้องบอกเลยครับ เหมือนกับรุ่นท็อปเดิมคือ VL 4WD ทุกประการครับ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาเป็นการเปลี่ยนสีของวัสดุอุปกรณ์ให้เป็นสีดำ เพื่อมห้สอดรับความเป็นเวอร์ชั่นสปอร์ต และนอกจากความคมเข้มแล้วบริเวณด้านท้ายมุมขวาของรถมีการเพิ่มแผ่นเพลท Sport เข้าไปอีกด้วย ส่วนสีภายนอกมี 3 สี ขาว-ไวท์ เพิร์ล ดำ-แบล็ค สตาร์ และสีใหม่ เทา-สเตลท์ เกรย์

ในส่วนของรายละเอียดภายของ TERRA 2.3 VL 4WD 7AT SPORT แม้ว่ามีภาพรวมของดีไซน์นั้นเหมือนกัน แต่ด้วยคอนเซปต์ที่ต้องการสะท้อนความเป็นสปอร์ตพีพีวี และให้ดูมีความแตกต่างไปจากรุ่นย่อยอื่นๆ หลายจุดจึงถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสีดำ เรียกง่ายๆ ว่าเน้นของดำนั่นแหละครับ และเพื่อให้เห็นภาพได้ง่ายว่ามีจุดใดบ้างเราได้สรุปไว้เป็นข้อๆ ดังนี้เลยครับ

▪︎ กระจังหน้าสีดำ

▪︎ กันชนหน้าสีเดียวกับตัวรถและชุดตกแต่งสีดำสไตล์สปอร์ต

▪︎ กันชนหลังสีเดียวกับตัวรถพร้อมชุดตกแต่งสีดำสไตล์สปอร์ต

▪︎ แผงกันกระแทกด้านหน้าและหลังสีดำ

▪︎ ไฟตัดหมอกหน้าแบบ LED พร้อมฝาครอบสีดำสไตล์สปอร์ต

▪︎ กระจกมองข้างขนาดใหญ่สีดำปรับ-พับเก็บไฟฟ้าอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED

▪︎ มือจับประตูด้านนอกแบบ Grip Type สีดำ

▪︎ คิ้วตกแต่งซุ้มล้อสีดำ

▪︎ บันไดข้างสีดำ

▪︎ สปอยเลอร์หลังสีดำ

▪︎ ราวหลังคาสีดำ

▪︎ เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ

▪︎ คิ้วประตูท้ายสีดำ

▪︎ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 R18

▪︎ ยางอะไหล่ แบบล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 255/60 R18

มิติตัวรถและน้ำหนัก

ความสูง 1,865 มม. x ความยาว 4,890 มม. X ความกว้าง 1,865 มม. ระยะฐานล้อ 2,850 มม. ระยะห่างระหว่างล้อ คู่หน้า 1,565 / คู่หลัง 1,570 มม. ความสูงใต้ท้องรถ 225 มม. น้ำหนักรถ 2,150 กก.

อุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร

▪︎ ห้องโดยสารโทนสีดำ

▪︎ หน้าจอสัมผัส 9 นิ้ว รองรับ Wireless Apple CarPlay® / Android Auto®*

▪︎ รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth®

▪︎ ระบบเครื่องเสียง Bose® Premium Audio System

▪︎ ระบบนำทาง

▪︎ ลำโพง 8 ตำแหน่ง

▪︎ ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 12V 3 จุด

▪︎ อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย

▪︎ ช่องต่ออุปกรณ์สำหรับจอภาพด้านหน้า USB / i-Pod®

▪︎ ช่องจ่ายไฟแบบ USB Type A 2 ตำแหน่ง Type C 1 ตำแหน่ง

▪︎ มาตรวัดแบบเรืองแสง จอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT 7 นิ้ว และ Off road meter

▪︎ นาฬิกาดิจิตอล

▪︎ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกซ้าย-ขวา และระบบควบคุมความเร็วพัดลมเบาะตอนหลัง

▪︎ พวงมาลัยพาวเวอร์หุ้มหนัง 3 ก้าน ตกแต่งสีเงินปุ่มควบคุมเครื่องเสียงการสั่งงานด้วยเสียง ปรับระดับได้

▪︎ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control

▪︎ ระบบ Push Start

▪︎ หัวเกียร์หุ้มหนัง

▪︎ ระบบเบรกมือแบบไฟฟ้า

▪︎ กระจกไฟฟ้าปรับขึ้น-ลง แบบอัตโนมัติ พร้อมระบบป้องกันการหนีบเฉพาะด้านผู้ขับขี่

▪︎ เซ็นทรัลล็อกและระบบล็อกประตูอัตโนมัติตามความเร็วรถ

▪︎ วัสดุหุ้มแผงประตูหนังแท้และวัสดุสังเคราะห์

▪︎ เบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่ ปรับไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง พร้อมที่ดันหลังปรับไฟฟ้า

▪︎ เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า ปรับได้ 4 ทิศทาง

▪︎ เบาะนั่งแถวที่2 แบบแยก 60:40 เลื่อนตำแหน่งหน้า-หลัง ปรับเอนได้ พับเบาะได้จากตำแหน่งคนขับ

▪︎ เบาะนั่งแถวที่3 แบบแยก 50:50 ปรับแบนราบกับพื้นห้องโดยสารได้

▪︎ แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าด้านผู้ขับขี่และผู้โดยสาร

▪︎ ไฟส่องสว่างในห้องผู้โดยสารแบบ LED พร้อมไฟอ่านแผนที่

▪︎ ช่องเก็บแว่นกันแดด

▪︎ ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 และแถวที่ 3

▪︎ ช่องเก็บขวดน้ำที่แผงประตูแถวที่1 และแถวที่ 2 และด้านข้างแถวที่ 3

▪︎ จอภาพสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง

▪︎ ช่องต่ออุปกรณ์สำหรับจอภาพด้านหลัง HDMI

▪︎ ชุดอุปกรณ์เชื่อมต่อ Smart TV

ขุมพลังดีเซล เทอรโบ

เครื่องยนต์ดีเซลรหัส YS23DDTT แบบ 4 สูบแถวเรียง 2,298 ซีซี DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบคู่อินเตอร์คูลเลอร์ ระบบจ่ายเชื้อเพลิง แบบไดเรกอินเจคชั่น กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที  มาตรฐานไอเสีย Euro4 เกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดแมนนวล ขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) พร้อม Shift-on-the-fly ความจุถังน้ำมัน 78 ลิตร

ระบบช่วงล่างและระบบเบรก

ระบบช่วงล่าง ด้านหน้า อิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบ 5 ลิ้งค์คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ระบบบังครับเลี้ยว แร็ค แอนด์ พิเนียน รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.7 ม. ระบบเบรก เป็นดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

ระบบความปลอดภัยและเทคโนโลยีช่วยขับขี่

▪︎ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS

▪︎ ระบบกระจายแรงเบรก EBD

▪︎ ระบบเสริมแรงเบรก BA

▪︎ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (VDC)

▪︎ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist (HSA)

▪︎ ระบบช่วยลงทางลาดชัน Hill Descent Control (HDC)

▪︎ เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหน้า 4 ตำแหน่ง

▪︎ เซนเซอร์กะระยะช่วยจอดด้านหลัง 4 ตำแหน่ง

▪︎ ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง (คู่หน้า-ด้านข้าง-ม่านนิรภัย)

▪︎ ระบบกุญแจ Immobilizer

▪︎ ระบบสัญญาณกันขโมย

▪︎ จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

▪︎ ระบบเตือนการชนด้านหน้า (IFCW)

▪︎ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน (IEB)

▪︎ ระบบเตือนเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (IDA)

▪︎ ระบบตรวจจับวัตถุและบุคคลรอบคัน Moving Object Detection (MOD)

▪︎ ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW)

▪︎ ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านด้านหลัง (RCTA)

▪︎ ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW)

▪︎ กระจกมองหลังแบบใช้กล้องแสดงภาพ Intelligent Rear View Mirror (i-RVM)

▪︎ ระบบเตือนแรงดันลมยาง

▪︎ กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา Around View Monitor (AVM)

รีวิวออปชั่นและการขับขี่

สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก NISSAN TERRA 2.3 VL 4WD SPORT ต้องยอมรับเลยครับว่าดูดีขึ้น กับการเปลี่ยนองค์ประกอบภายนอกรอบคันหลายๆ จุดให้เป็นสีดำ ยิ่งบวกกับสไตล์ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบอะไรเข้มๆ มันยิ่งเสริมภาพลักษณ์ให้ดูเท่ ดูเข้มดุดันยิ่งกว่าเดิม ผนวกกับเส้นสายที่เป็นสันเป็นเหลี่ยมด้วยแล้ว ผ่านเลยครับ

มาต่อกันที่ห้องโดยสาร แน่นอนโทนเป็นสีดำสไตล์สปอร์ต ส่วนออปชั่นที่ให้มาผมว่าจัดมาให้อย่างคุ้มอีกทั้งยังเหมือน VL 4WD ทุกประการ เบาะด้านคนขับจะปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง แถมยังปรับดันหลังได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า (Lumbar support) 2 ทิศทาง อย่างไรก็ดีฐานเบาะยังคงสั้นเหมือนเดิม ส่วนปีกเบาะรองรับกับสรีระแบบโคตรจะดี ผิวหุ้มเป็นหนังดีไซน์ใหม่ ซึ่งมีปุ่มนูนๆ ขึ้นมา ฟองน้ำบุนุ่มหนานั่งได้สบาย

พวงมาลัยดีไซน์เหมือนกันทุกรุ่นย่อย มีสวิตช์มัลติฟังก์ชั่นมาให้ แต่ก็ยังแอบเสียดายว่าปรับได้แค่ขึ้น-ลง เท่านั้น คู่แข่งเค้ามีเข้า-ออก ด้วย อีกหนึ่งจุดที่ผมชอบมากๆ คือ กระจกมองหลัง ที่ปรับการมองได้สองแบบ คือ ใช้กล้องส่อง ทำให้เห็นด้านหลังรถได้ดีแม้ว่าคุณบรรทุกสัมภาระเต็มพื้นที่เก็บของท้ายรถ ส่วนอีกโหมดเป็นแบบดันใต้กระจกซึ่งเป็นกระจกสะท้อนธรรมดา

อย่างไรก็ดีเดิม เดิมทีตัวก่อนไมเนอร์เช้นจ์กระจกมองหลังนั้นจะมีจอที่แสดงภาพกล้องรอบคัน รุ่นใหม่นี้มีการย้ายการแสดงภาพไปที่จอกลางแทนแล้ว ผมว่าดีแล้วครับ เพราะจอมันเล็กเกินไป อีกทั้งภาพก็ไม่คมชัดเท่าที่ควร สำหรับการใช้งานกล้องรอบคัน สามารถกดสวิตช์เปลี่ยนเป็นมุมมองส่องท้ายอย่างเดียวก็ได้ หรือว่าเลือกเป็นเฉพาะมุมส่องหน้ารถและล้อฝั่งซ้ายก็ได้ อย่างไรก็ดีครับเมื่อคุณเข้าเกียร์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ในโหมด 4L รถก็จะเปิดกล้องในมุมออฟโรดให้แบบอัตโนมัติ แต่ถ้าใช้ความเร็วเร็วเกิน 20 กม./ชม.เมื่อไหร่ ระบบกล้องมันก็จะตัดการทำงานทันที

ส่วนชุดมาตรวัดเหมือนรุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นแบบเรืองแสง มีจอกลาง MID เป็นจอสี และยังแสดงผลเป็นภาษาไทยอีกด้วย แสดงทั้งค่าอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย ระยะทางที่เหลือซึ่งสามารถวิ่งได้ด้วยน้ำมันที่เหลือ และในรุ่นขับสี่ยังมีหน้าจอสำหรับโหมด Off-road แสดงองศาความเอียงของตัวรถและระบบขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง TPMS  มาให้ด้วย

การเข้า-ออก ประตูเพื่อขึ้นไปนั่งบนเบาะแถว 2 ในจุดนี้นับว่าทำได้ดีและค่อนข้างสะดวกมาก เรียกว่าเหนือกว่าคู่แข่ง บานประตูเปิดได้กว้างและช่องประตูก็ใหญ่ อีกทั้งมีบันไดที่กว้าง ทำให้มีพื้นที่เหยียบ อีกหนึ่งความโดดเด่นของ Terra นั่นคือการพับเบาะแถวสอง ที่พับแยกได้แบบ 60:40 แต่มันดีกว่าชาวบ้านชาวช่องก็ตรงที่คุณไม่ต้องออกแรงโยกด้วยมือ เพราะสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงใช้การกดจากสวิตช์บริเวณคอนโซลเกียร์ เมื่อกดแล้วตัวล็อคจะคลาย จากนั้นเบาะก็พับลงด้วยแรงสปริงในตัว ล้มมาข้างหน้าโดยอัตโนมัติ ข้อดีก็คือเวลาที่คนใช้ที่ตัวเล็กหรือเด็กๆ จะเข้า-ออกเบาะแถวที่สาม เราก็ไม่ต้องลงจากรถไปกดพับด้วยตัวเอง สะดวกมากๆ ฟังก์ชั่นนี้

การนั่งในเบาะแถวสองบอกเลยสบายๆ ไม่อึดอัด เฮดรูมเหลือเยอะ ส่วนเลกรูมไม่ต้องพูดถึงกว้างๆ ตัวพนักพิงปรับความเอียงได้ 2 สเต็ป และฐานเบาะยังมีความยาวเหมาะสม สามารถปรับเลื่อนขึ้นหน้าและถอยหลัง ได้ถึง 80 มม. ในจุดนี้ทำให้เพิ่มพื้นที่วางขาให้กับผู้โดยสารแถวกลางได้เป็นอย่างดี หรือว่าจะปรับเลื่อนขึ้นหน้า เวลาที่ต้องการเพิ่มพื้นที่วางขาให้ผู้โดยสารแถว 3 อีกด้วย

ยังไม่หมดแค่นั้นสำหรับสิ่งที่จัดมาให้สำหรับเบาะแถวสอง เพราะนิสสันจัดจอแขวนเพดานขนาด 11 นิ้ว มาให้ตั้งแต่ออกศูนย์ มาพร้อม Android TV Stick ที่เสียบไว้ที่ช่อง USB ของคนนั่งแถวสาม และเมื่อทำการเชื่อมต่อกับ Internet ในรถ ก็สามารถเปิด Netflix หรือ Youtube ดูได้ เรียกว่าใครที่ชอบเปิดการ์ตูนหรือหนังในลูกๆ ดูเนี่ยไม่ต้องไปเสียงเงินติดเพิ่มเองข้างนอกเลยครับ นอกจากนี้คนนั่งหลังทั้งแถวสองและสาม ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องแอร์ไม่ถึง เพราะมีแอร์หลังคาแม้ว่าปรับอุณหภูมิไม่ได้ แต่ก็สามาาถปรับแรงลมได้ถึง 4 ระดับ

ขยับมาที่เบาะแถวสามการเข้า-ออกไม่ได้มีปัญหาเรื่องความกว้าง แค่ระวังเรื่องศีรษะไปโหม่งกับขอบประตูก็พอ สำหรับเบาะแถวสามปรับพับแยกได้แบบ 50:50 ส่วนการนั่งเอาจริงๆ ผมว่านยังไงก็ไม่สบายเท่ากับเบาะแถวสองแน่นอน แต่ทว่ากับเด็กหรือคนตัวเล็กยังพอได้นะ ส่วนคนตัวสูงขายาวแม้ว่าจะไม่ติดเรื่องพื้นที่วางขา เพราะสามารถเพิ่มได้เมื่อปรับเลื่อนเบาะแถวสองไปด้านหน้า แต่ถ้าคนนั่งแถวสองดันตัวใหญ่ตัวสูงด้วยเช่นกัน มันก็ย่อมส่งผลเรื่องของพื้นที่เข่าของผู้โดยสารแถวสามด้วย อีกทั้งตัวฐานเบาะค่อนข้างต่ำ ยังไงก็ต้องนั่นชันเข่าชัยขาแน่นอน ดังนั้นผูู้ใหญ่นั่งยาวๆ ผมว่าไม่สะดวก

ตัวเบาะเมื่อพับเรียบแล้วจะขนานไปกับพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายทำให้จัดเก็บของได้เยอะขึ้น และใต้แผ่นพื้นเก็บสัมภาระยังสามาระเปิดขึ้นมา ทำให้ในจุดนี้มีบริเวณเก็บรองเท้าได้อีกด้วย ดีงามมาก

สมรรถนะการขับขี่ เรื่องขุมพลังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนไมเนอร์เช้นจ์ครับ เครื่องยนต์บล็อกเดิม YS23DDTT เทอร์โบคู่ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 2,500 รอบ/นาที ที่พัฒนาขึ้นระหว่าง Nissan อย่าง Renault ฝรั่งเศส (อีกชื่อหนึ่งเรียกว่า M9T) ครั้งนี้ผมทดสอบทั้งในเมืองและนอกเมือง เจอสภาพจราจรที่หลากหลาย โดยช่วงขับนอกเมืองถนนโล่งๆ ลองอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. (โหมด D ปกติ สามรอบ) เวลาที่จับออกได้อยู่ราวๆ 11.5-11.8 วินาที รวมๆ ถือว่าไม่ขี้เหร่นะ มาแบบเรื่อยๆ เนียนๆ เลย แต่ไม่ใช่แบบกระโชกโฮกฮากดุดันแบบคู่แข่งจากสองแบรนด์เจ้าตลาด และช่วงความเร็วลอยตัวประมาณ 80 กม./ชม. แล้วเติมต่อเพื่อไปที่ 120 กม./ชม. ใช้เวลาอยู่ราว 7.9 วินาที นั่นหมายถึงว่าการเร่งแซงของคุณก็ยังทำได้แบบไร้กังวล ส่วนอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ระยะทางที่ขับทั้งหมด 150 กม. อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ยบนหน้าจอของรถอยู่ที่ 15 กม./ลิตร จากตัวเลขต้องยอมรับว่าประหยัดทีเดียว

สำหรับระบบกันสะเทือน สเปคเหมือนรุ่นมาตรฐานและเหมือนก่อนไมเนอร์เช้นจ์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังแบบ 5 ลิ้งค์คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง ฟิลลิ่งออกมาในทางนุ่มนวล และไม่โยนหรือโคลงเคลง เมื่อเจอพื้นที่หลุมบ่อ ช่วงล่างสามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดี ไม่ตึงตัง เจอลูกระนาดรูดผ่านแบบไม่เบรกเก็บแรงสะท้อนได้หมด ในขณะการขับขี่ในช่วงความเร็วสูงนั้น ช่วงล่างยังทำหน้าที่ได้ดีเช่นเดิม ในโค้งกับความเร็ว 100-120 กม./ชม. เก็บอาการดี รถนิ่งและมั่นคง หรือจังหวะเปลี่ยนเลนแรงๆ ก็ยังรู้สึกว่ารถไม่เสียอาการ แต่ก็มีจุดที่ผมไม่ชอบคือ คาแร็คเตอร์ของพวงมาลัย มันออกอาการหน่วงๆ ไปสักนิด อีกทั้งน้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

สรุปแบบไม่ต้องคิดเยอะ NISSAN TERRA 2.3 VL 4WD SPORT ได้ความสดใหม่ คาแร็คเตอร์ของรถดูเข้มและดุดันมากกว่ารุ่นมาตรฐาน ที่สำคัญออปชั่นจัดมาให้แบบไม่กั๊ก ทั้งด้านอำนวยความสะดวกสบาย ด้านระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่ ส่วนเครื่องยนต์แม้ว่าอาจไม่จัดจ้านเท่าคู่แข่งแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นรถที่ขับแล้วรู้สึกอืดอาด ก็ยังขับได้ดีขับได้สนุก เมื่อเทียบกับำพิกัดขุมพลังแล้วระดับนี้ก็สมเหตุสมผล อีกทั้งยังให้ความประหยัดอีกด้วย กับราคาค่าตัว 1,555,000 บาท ในชั่วโมงนี้เวลานี้ ผมยังยกให้เป็น PPV ที่คุ้มค่าที่สุด แต่ก็แอบแปลกใจว่าทำไมถึงยอดจำหน่ายไม่ปังเหมือนคู่แข่ง

ออกรถช่วงนี้มาพร้อม แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% นาน 48 เดือน + ประกันภัยชั้นหนึ่ง NPP 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2566

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *