Review-Test Drive : ORA 07 Long Range ราคา ล้านสามทอนพันคุ้มไหม

ก่อนหน้านี้ผมเคยมีโอกาสได้ทดลองขับ ORA 07 ครั้งแรกในสนามพีระ เซอร์กิต จังหวัดชลบุรี ไปในช่วงปลาย 2566 ถึงตอนนี้ก็เกือบ 1 ปีเห็นจะได้ครับ ซึ่งรุ่นที่ได้ขับก็เป็นรุ่น Performance ล่าสุดเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมก็นึกขึ้นได้ว่า เรายังไม่เคยลองขับจริงบนท้องถนนเลยสักครั้ง สุดท้ายก็เลยตัดสินใจโทรหาทีมพีอาร์ของ GWM ว่าผมสนใจอยากทดลองขับ ORA 07 ในรุ่น Long Range ซึ่งเป็นรุ่นที่ยังไม่เคยขับ และก็คิดว่าถ้าได้ลองขับแล้วก็น่าจะนำข้อมูลหรือฟิลลิ่งต่างๆ มาสาธยายให้ผู้อ่านที่กำลังสนใจรถรุ่นนี้ได้นำเอาไปเป็นข้อมูลในการตัดสินใจได้ไม่มากก็น้อย

ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงรับทราบข้อมูลของรถรุ่นนี้ ทั้งจากสื่อมวลชน-นักรีวิว และยูทูปเบอร์มาบ้างพอสมควร แต่เอาเป็นว่าผมขอรีแคปข้อมูลสเปคตัวรถกันสักหน่อย ก่อนที่จะไปเล่ารายละเอียดในส่วนของการขับขี่ครับ

ORA 07 เป็นรถอีวีในพิกัด D-Segment ความยาว  4,871 มม. ความกว้าง  1,862 มม. ความสูง  1,500 มม. ระยะฐานล้อ  2,870 มม. ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ  125 มม. น้ำหนักตัวรถ Long Ranger 1,965 กก. Performance 1,990 กก. ผลิตและประกอบจากประเทศจีน มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ขาว Jade White (ภายในสีดำ) เทา Amethyst Grey (ภายในสีน้ำตาล) ม่วง Crystal Purple (ภายในสีน้ำตาล) เฉพาะรุ่น Performance

นำเข้ามาจำหน่ายในไทยทั้งคัน โดยทำตลาดทั้งหมด 3 รุ่นย่อย คือ Long Range มอเตอร์เดี่ยว 204 แรงม้า (150 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Ternary Lithium-ion ความจุ 83.499 kWh ราคา 1,299,000 บาท Long Range Ultra ราคา 1,399,000 บาท และรุ่นท็อป Performance มอเตอร์คู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor 2 ตัว กำลังสูงสุด 408 แรงม้า (300 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 680 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Ternary Lithium-ion ความจุ 83.499 kWh ราคา 1,499,000 บาท

โดยในครั้งนี้เราได้นำรุ่นเริ่มต้น Long Range มอเตอร์เดี่ยว 204 แรงม้า มารีวว สำหรับรายละเอียดดีไซน์ภายนอกรวม ๆ ก็เห็นได้ว่ามีการออกแบบให้เป็นรถอีวีที่มีคาแรคเตอร์ชัดเจน หลายคนก็จะมองว่าดูละม้ายคล้ายคลึงกับแบรนด์จากฝากฝั่งยุโรป พูดตรง ๆ ก็คล้ายกับปอร์เช่ พานาเมร่า แต่เชื่อว่าคนออกแบบน่าจะมองว่าเป็นเรื่องของแรงบันดาลใจซะมากกว่า

ดีไซน์ไฟหน้าเป็นทรงรูปไข่ เรียกรวม ๆ ว่า Intelligent LED มาพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติ ฟังก์ชันหน่วงเวลาไฟส่องทางหลังดับเครื่อง Follow Me Home นอกจากนี้ยังไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน Daytime Running Light และไฟเลี้ยวสีล้มอยู่ในโคมเดียวกัน

ด้านหน้าในตำแหน่งใต้กรอบป้ายทะเบียนมีการติดตั้งกล้อง ซึ่งคันนี้ให้กล้องรอบคัน 360 องศามาด้วย ที่สำคัญกระจังรถคันนี้ไม่มี เรียกว่าแทบปิดทึบ 100 % ตามสไตล์ของรถอีวี แต่อย่างไรก็ดี บริเวณชายกันชนก็มีการออกแบบให้มีช่องดักลมแนวนอนเรียกซ้อนกัน 2 ชั้น เพื่อให้ลมสามารถเข้าไประบายความร้อนให้กับชุดอินเวอร์เตอร์ ส่วนบริเวณที่มุมซ้าย-ขวาด้านหน้า ก็มีการตกแต่งด้วยแถบโครเมียมเพื่อเพิ่มจุดน่าสนใจ จะเรียกว่าไม่ให้มันโล้น ๆ เรียบ ๆ ก็ว่าได้ พร้อมกันนี้ยังมีเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้ามาให้ 4 จุด

มาดูกันต่อที่ด้านข้าง ให้ความโดดเด่นด้วยล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว แบบทูโทน ดีไซน์โดยรวมนับว่าลงตัวเข้ากับรถ และช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้ดีพอสมควร ส่วนยางเป็น KUMHO ขนาด 235/50 R18 ตัวกระจกมองข้างดีไซน์ให้ยื่นออกมาจากตัวรถพอสมควร ข้อดี คือ เพิ่มองศามุมมองที่กว้างขึ้น แต่ก็อาจเกะกะ หากขับไปในทางแคบ ๆ ตัวก้านเป็นสีเงิน ด้านใต้ล่างเป็นกล้องที่เก็บภาพในด้านข้าง ส่วนตัวกรอบกระจกเป็นสีเดียวกับตัวรถ มาพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED ฝังอยู่ สามารถปรับและพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า แต่ไม่มีการปรับองศากระจกลงเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลังให้เหมือนกับรุ่น Long Range Ultra และ Performance

มือเปิดประตูเป็นแบบซ่อนให้แนบสนิมกับบานประตู จะบอกว่าใช้สไตล์นี้กันแทบทุกแบรนด์ของรถไฟฟ้าจากแดนมังกร เปิดอัตโนมัติแบบไฟฟ้า ด้านบนให้ออปชั่นหลังคาพาโนรามิคขนาดใหญ่ Panoramic Glass Roof ชายประตูทั้งมีการตกแต่งด้วยแถบวัสดุงานโครเมียม เพื่อให้มันล้อเข้าเซ็ตกับมุมกันชนด้านหน้า ซึ่งแถบดังกล่าวก็จะคาดยาวกินพื้นที่ไปถึงชายประตูคู่หลังเลย

บริเวณด้านท้ายตัวรถดูจากมุมมองด้านข้างก็ชี้ชัดไปได้เลยว่าคันนี้แทบจะเป็นรถ Fastback ก็ว่าได้ ข้อดี คือ ช่วยเรื่องแอโร่ไดนามิก ลดแรงต้าน ช่วยให้ลมผ่านตัวรถไปอย่างลื่นไหล แต่ข้อเสียก็มีคือ ทำให้ห้องโดยสารหรือเบาะแถวสองนั้นดูอึดอัด เพราะด้วยแนวหลังคาที่ต่ำ ตัวกระจากหลังเรียกว่าบานใหญ่มาก ๆ มีไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED แต่เสียดายไม่ให้ปัดน้ำฝนหลังมาให้ ไม่อยากจะนึกว่าฝนตกหนักๆ จะเป็นยังไง

ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ ก็ไม่มีอะไรมากดูเรียบ ๆ คลีน ๆ ไฟท้ายแบบ LED ทรงวงรีฝังขนานไปกับบอดี้รถ และล้อมกรอบด้วยงานโครเมียม เพื่อเพิ่มความลักชัวรี่ ที่สำคัญรุ่น Long Range ไม่มีสปอยเลอร์ไฟฟ้ามาให้เหมือนกับสองรุ่นบน ส่วนชายกันชนตกแต่งด้วยเส้นงานโครเมียม

ตรงกลางเป็นไฟตัดหมอกแบบ LED แต่ขอเตือนไว้เลยว่า สภาพแวดล้อมปกติไม่ควรเปิดใช้ เพราะลำแสงของมันแยงตาคนขับรถมาตามมาก ๆ หลายเหตุการณ์ทะเลาะกันนบนท้องถนนเพราะเปิดไฟตัดหมอกนี่แหละ หรือเจ้าของรถบางคนไม่รู้ว่าเปิดใช้งานไฟตัดหมอกอยู่ ทางที่ดีเจ้าของรถควรศึกษาคู่มือการใช้งานอุปกรณ์ต่างว่าอยู่ตรงไหนปิดยังไง หรือมีสัญลักษณ์อะไรขึ้นโชว์บนหน้าจอรถ

นอกจากนี้ยังฝังไฟทับทิมบริเวณมุมกันชนซ้าย-ขวา เสริมความปลอดภัยด้วยเซ็นเซอร์กะระยะ 4 จุด เหนือกรอบป้ายทะเบียนมีการติดตั้งกล้องมองหลัง อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้ให้กล้อง 360 มา แม้ว่าเป็นรุ่นเริ่มต้น

การเปิด-ปิดฝาท้ายทำได้แมนนวล เมื่อเปิดขึ้นมาเห็นได้ว่า พื้นที่เก็บสัมภาระไม่ได้ใหญ่และลึกมาก กระเป๋าเดินทางใบกลางใบเล็กใส่ได้สบาย ๆ ถุงกอล์ฟใส่ได้แต่ต้องวางเฉียง ๆ จักรยานพับใส่ได้แบบเบียด ๆ แต่ที่ชอบคือ บุผนัง เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างเนียน บริเวณด้านในของแผ่นฝาท้ายมีป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสงฉุกเฉินติดตั้งมาให้อยู่ ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระเมื่อปิดขึ้นมาเป็นบล็อกโฟมที่ใส่ชุดน้ำยาปะยาง ปั๊มลม และสายชาร์จไฟฉุกเฉิน ยังไงก็ดีส่วนตัวผมยางอะไหล่ใช้งานง่ายและสะดวกกว่า

มาดูกันต่อที่รายละเอียดในห้องโดยสาร รุ่น Long Range และ Long Range Ultra ใช้โทนสีห้องโดยสารสีดำ ซึ่งแตกต่างจากรุ่น Performance ที่มี 2 โทนสี คือ  น้ำตาล (ภายนอกสีม่วง) และสีเทา แผงแดชบอร์ดออกแบบได้อย่างมีสไตล์คล้าย ๆ ตัวที ซึ่งเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันกับคอนโซลกลาง (ถ้ารถ ICE ก็คือคอนโซลเกียร์นั่นแหละ) ซึ่งตรงนี้จะเป็นสวิตช์แบบบิดควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งเป็นแบบอัตโนมัติพร้อมระบบกรอง PM 2.5 ซึ่งการที่มีสวิตช์ควบคุมตรงนี้ ผมว่าดีนะ เป็นช็อตคัทที่แยกออกมา ไม่ต้องเสียเวลาเข้าไปปรับตั้งในจอกลาง เพราะบางทีมันก็ไม่สะดวกเวลาที่ขับรถอยู่

และเมื่อพูดถึงเรื่องแอร์ ก็ขอแชร์ข้อมูลกันสักหน่อย โดยเฉพาะการปรับตำแหน่งทิศทางของลมแอร์นี่แหละ ผมว่าไม่สะดวกสำหรับคนไทย ด้วยเพราะมันเลือกปรับได้แบบปัดขึ้น-ลง หรือปัดซ้าย-ขวา แต่ไม่สามารถปรับให้ล็อกตำแหน่งให้ตรงตัวตรงหน้าคนนั่งได้ อันนี้ผมบอกเลยไม่ชอบ ยิ่งเจออากาศร้อน ๆ เราก็อยากให้ลมเย็นโดนตำแหน่งตัวเรามากที่สุด

ย้อนกลับมาดูที่ตัวคอนโซลมีการบุนุ่มและหุ้มด้วยหนังเคราะห์ จับให้ผิวสัมผัสค่อนข้างดี พร้อมกับการเดินตะเข็บด้วยด้ายสีขาว ทำให้มีภาพลักษณ์ที่สะดุดตามากยิ่งขึ้น ใต้ล่างเป็นช่องวางของเล็ก ๆ กุญแจหรือสมาร์ทโฟนได้ และยังมีพอร์ตชาร์จไฟ USB Type A 2 ตำแหน่ง Power Outlet 1 ตำแหน่ง

ถัดลงมาหลังคอนโซลกลางเป็นชิ้นงานพลาสติกสีเงิน ซึ่งจุดนี้บอกเลยว่าเก๋มาก เพราะเป็นของช่องไวเลสชาร์จ ปกติรถรุ่นอื่น ๆ ก็จะวางขนานในแนวระนาบ แต่รถรุ่นนี้เป็นช่องเสียบแนวตั้ง รวมทั้งยังมีที่วางแก้วน้ำและขวดน้ำ 1 ตำแหน่ง เพิ่มความหรูหราด้วยไฟตกแต่งห้องโดยสาร พร้อมฟังก์ชันแบบหลายสีและเป็นจังหวะ

ตรงกลางแดชบอร์ดเป็นจอมัลติมีเดียระบบสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android ระบบเชื่อมต่อไร้สาย Bluetoot ระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System ลำโพง จำนวน 11 ตำแหน่ง (OEM) ซึ่งรุ่นท็อปนั้นให้ลำโพง Infinity รวมถึงมีระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามความเร็วรถ ระบบอัปเกรดเฟิร์มแวร์ผ่านระบบออนไลน์อัจฉริยะ FOTA ระบบสั่งงานด้วยเสียงอัจฉริยะ Voice Command แอปพลิเคชั่น GWM Application และเป็นจอที่แสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา

เบาะนั่งดีไซน์ได้ค่อนข้างสปอร์ต โอบกอดกับสรีระผู้ขับได้ดี ปีกเบาะถือว่าค่อนข้างหนานุ่ม พนักพิงศีรษะกับพนักพิงหลังดีไซน์ให้รวมเป็นชิ้นเดียวกัน แต่พนักพิงศีรษะนั้น ออกแบบให้อวบนูนขึ้นมา ห่อหุ้มด้วยผ้าบริเวณตรงกลางพนักพิงและฐานเบาะพร้อมเจาะรูระบายความร้อน ด้านข้างหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ รวมๆ เรื่องการนั่งผมว่าโอเค ทั้งพนักพิงหรือฐานเบาะ แต่ทว่าบางคนอาจไม่ชอบพนักพิงศรีษะทรงนื้ เบาะฝั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 6 ทิศทาง ไม่มีระบบดันหลัง ไม่มีระบบนวด และไม่มีระบบ Welcome Seat ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง

มาดูที่มาตรวัด เป็นหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ขนาด 10.25 นิ้ว สีสันและกราฟิกการแสดงผลสวยงาม ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบกับการที่ใช้กรอบทรงกลม 3 ช่อง เข้าใจแหละว่าต้องการสื่อสะท้อนแสดงถึงความสปอร์ต แต่รวมๆ ผมว่าออกแนวเกะกะสายตา แทนที่จะทำให้จอดูกว้าง มองง่ายๆ ดูแล้วเคลียร์ แต่พอมันแบ่งช่องแล้ว ผมว่ามันมองเห็นได้ไม่ถนัด และไม่มีจอ HUD (Head-up display) สะท้อนความเร็ว ข้อมูลตัวรถที่กระจกมาให้

ส่วนพวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ 3 ก้าน ตกแต่งด้วยพลาสติกสีงานที่ก้านพวงมาลัย ก้านซ้าย-ขวาเป็นสวิทช์มัลติฟังก์ควบคุมเครื่องเสียง และปรับจอแสดงผลการขับขี่ ตัวพวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง (เข้า-ออก-ขึ้น-ลง) คันเกียร์แบบ Electronic Shifter ส่วนตัวผมว่าใช้งานได้ง่ายและสะดวก ขับบ่อย ๆ ยิ่งคุ้นชินจำตำแหน่งและทิศทางได้ และไม่ต้องเหลือบไปมอง

ลองขยับมานั่งในเบาะผู้โดยสารด้านหลังบ้าง ก่อนเข้าไปนั่งขอแชร์ข้อมูลเลยว่า ระวังกันสักนิด เพราะด้วยแนวหลังคาท้ายที่ลาดเอียงก็ส่งผลให้กรอบประตูลาดเอียงไปด้วย ซึ่งถ้าใครไม่สังเกตหรือกะไม่ดี…มีหัวโหม่งหน้าผากปูดได้เหมือนกัน บวกกับพื้นห้องโดยสารคอนข้างสูง เพราะพื้นที่โดนแชร์ด้วยความหนาของแบตเตอรี่ ดังนั้นคนที่เข้าไปก็ต้องก้มและย่อตัวเยอะพอสมควร จุดนี้ผมว่าอาจเป็นข้อด้อยได้เหมือนกันครับ แต่โอเคเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องขอดีไซน์ คนซื้อก็ต้องทำใจยอมรับตั้งแต่ก่อนซื้อ

เมื่อเข้าไปนั่งผมมีภาพให้ดูจะเห็นได้ว่าเฮดรูมแทบจะชิด กับความสูงผมไม่ถึงระดับ 170 ซม. แล้วถ้าคนสูงเกินกว่านั้นล่ะ นั่นคือคำถามครับ ยังไม่หมดแค่นั้น ด้วยหลังคาที่เป็น Panoramic Glass Roof และแน่นอนว่าประเทศไทยแดดจัดทั้งปีไม่ว่าฤดูไหน ตรงนี้ก็ถือเป็นจุดที่ดูดซึมความร้อนได้แบบตรง ๆ ต่อให้ติดฟิล์ม ผมว่ายังไงความร้อนก็ถ่ายเทสู่ห้องโดยสารและตัวผู้นั่งได้หนักกว่ารถรุ่นอื่น ๆ แน่นอน

มาดูที่การนั่ง เลกรูมผมว่าเหลือเยอะคนขายาวไร้กังวล และสามารถสอดเท้าไปใต้เบาะคู่หน้าได้ จะติดก็แค่ระยะเฮดรูมเท่านั้น พนักพิงมีองศาเอียงกำลังพอดี ฐานเบาะนุ่มแต่ไม่ยวบ นั่งสบาย ซัพพอร์ตใต้ท้องขาได้ดีในระดับหนึ่ง ตรงกลางพนักพิงง้างออกมาเป็นที่ท้าวแขนได้ มีช่องวางแก้วน้ำขวดน้ำ 2 ช่อง

นอกจากนี้พนักพิงเบาะยังพับแยกอิสระซ้าย-ขวาได้แบบ 60:40 ซึ่งเมื่อพับทั้ง 2 ฝั่งแล้ว สามารถเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บของได้มากขึ้นทีเดียว จะของชิ้นยาว ๆ ใหญ่ ๆ ก็เก็บได้ และที่ชอบคือมันเรียบเสมอกับพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเลย อันนี้ดีมากครับ นอกจากนี้ก็มีช่องแอร์สำหรับเบาะแถวหลังมาให้ ดีไซน์ก็เป็นทรงกลมเจ็ทเทอร์ไบน์ดีไซน์ยอดฮิต รวถึงมีพอร์ต USB ทั้ง Type C Type A มาให้

ในส่วนของระบบความปลอดภัยและระบบช่วยขับขี่บอกเลยว่ารุ่นเริ่มต้นก็จัดมาให้เพียบๆ แน่นๆ อ่านเอาเลยว่ามีอะไรบ้าง

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมการช่วยเข้าโค้งอัจฉริยะ
  • Intelligent ACC ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก AEBI
  • ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA & RCTB
  • เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 ตำแหน่ง
  • เซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 ตำแหน่ง
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงการชนด้านหน้า
  • ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง WDS
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW
  • ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน LCK
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน ELK
  • ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการเกิดการชนซ้ำครั้งที่ 2 SCM
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางชัน HSA
  • ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู
  • ระบบตรวจความดันลมยาง TPMS
  • ระบบเตือนคนเดินขณะขับขี่

ออปชั่นที่ไม่มีเมื่อเทียบกันรุ่นลองท็อป Long Range Ultra

  • กระจกมองข้างปรับมุมองศาลดลงอัตโนมัติ เมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง
  • สปอยเลอร์ไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชันเปิด-ปิดอัตโนมัติ เมื่อปลดล็อกรถ หรือเมื่อความเร็วถึง 70 km/h
  • ฝาท้ายไฟฟ้า พร้อมระบบเตะเปิด Hand-free Tailgate
  • เบาะนั่งคนขับ พร้อมระบบ Memory Seat และระบบ Welcome Seat
  • สวิตช์ปรับดันหลังไฟฟ้า 4 ทิศทาง
  • เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบเบาะนวดไฟฟ้า
  • เบาะนั่งไฟฟ้าคู่หน้า พร้อมระบบระบายอากาศ
  • หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกด้านหน้า Head-up display
  • ลำโพง Infinity จำนวน 11 ตำแหน่ง
  • ระบบช่วยจอดรถอัตโนมัติ 3 รูปแบบ IIP แนวตรง / แนวเทียบข้าง /แนวเฉียง
  • ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ ARA
  • เซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 6 ตำแหน่ง
  • เซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 6 ตำแหน่ง

ขุมพลัง-ระบบขับเคลื่อน

ในรุ่น Long Range ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว Permanent Magnet Synchronous Motor ติดตั้งบริเวณล้อหน้า (FWD) ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (150 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตัน-เมตร ตัวแบตเตอรี่เป็นแบบ Ternary Lithium-ion ความจุ 83.499 kWh รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC Fastcharge สูงสุด 88 kW รองรับการชาร์จ AC 6.4 kW พร้อมระบบ V2L (Vehicle to Load) ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม อยู่ที่ 640 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) โหมดการขับขี่ มีให้เลือก 6 รูปแบบ ได้แก่ Eco Well Being Normal Sport Sport+ และ Individual รองรับการชาร์จ AC 6.4 kW รองรับการชาร์จ DC 88 kW

พวงมาลัย-ช่วงล่าง-ระบบเบรก

  • พวงมาลัยไฟฟ้า พร้อมโหมดช่วยผ่อนแรง เบา/สบาย/สปอร์ต
  • ด้านหน้าอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท
  • ด้านหลังมัลติลิงค์
  • เบรกหน้า ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน
  • เบรกหลัง ดิสก์เบรก

การขับขี่ – Test Drive

ส่วนตัวในเรื่องการขับขี่ ผมชอบตั้งแต่ได้ลองขับในสนามมาแล้ว คือ ด้วยคาแร็คเตอร์ตัวรถ หลายคนแอบคาดหวังว่าการขับต้องมีฟิลลิงไปในทางรถหรู ช่วงล่างนุ่ม ๆ ขับสบายนั่งสบาย แต่พอเอาเข้าจริงบอกเลยครับว่า ตรงกันข้ามนะ ช่วงล่างออกไปทางเฟิร์มเลยก็ว่าได้ แน่น ๆ หนึบๆ ยิ่งในโค้งนะมั่นใจได้ แต่ไม่ถึงกับตึงตังจนรู้สึกว่านั่งแล้วไม่สบายหรือคนสูงวัยนั่งแล้วบ่นว่าแข็ง ความนุ่มนวลยังคู่มีอยู่ แต่เป็นนุ่มแบบเฟิร์ม ซึ่งคาแร็คเตอร์ในรุ่น Performanace มอเตอร์คู่ ยังพอเข้าใจได้เพราะรถมีความแรงมากกว่า ช่วงล่างต้องซัพพอร์ตได้ดีควบคู่ไปด้วย แต่สำหรับการเซ็ตแบบนี้มันถูกนำมาใช้กับทุกรุ่นย่อย ซึ่งรุ่น Long Range ก็ให้ฟิลลิงแบบเดียวกันเลยครับ ซึ่งก็ต้องชั่งใจพิจารณากันให้ดีว่า ถูกใจถูกสไตล์การใช้งานของคุณหรือไม่ ส่วนตัวผมอยากให้มันนุ่มมากกว่าเมื่อเทียบกับรุ่น Performanace

สำหรับพละกำลังและแรงบิดบอกเลยว่าหายห่วง เหลือ ๆ แม้เป็นมอเตอร์เดี่ยวก็ขับสนุก อัตราเร่งดี กดหนักๆ เล่นดึงหลังติดเบาะได้เหมือนกัน หากชอบเร้าใจหรือเป็นว้าปเป็นผู้ใหญ่แอบซิ่ง ไม่ต้องถึงขั้นเลือกโหมดสปอร์ต โหมดปกติก็เร้าใจแล้วรถพุ่งตามเท้าแน่นอน โหมดพวงมาลัยส่วนตัวผมแนะนำให้เลือกสบาย หรือสปอร์ตไปเลย เพราะเบาพอใช้งานจริง ๆ รู้สึกมันโหวง ๆ เบาจนเกินไป ใช้งานแล้วไม่กระชับหรือเฟิร์มครับ การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารเป็นอีกจุดหนึ่งที่ชื่นชมทำได้ดี โดยเฉพาะกับเสียงลมที่มาปะทะเมื่อขับด้วยความเร็วหรือเวลาขึ้นทางด่วน จะมีก็เป็นเสียงของยางซะส่วนใหญ่เวลาขับผ่านรอยต่อของถนน

สรุป : ดีไซน์ส่วนตัวขอไม่ออกความเห็น อันนี้นา ๆ จิตตังจริง ๆ ครับ แต่ถามว่าสวยไหม รวม ๆ ก็สวยในความ ORA ครับ ด้่านภายในวัสดุโดยรวมถือว่าคุณภาพดี ดีไซน์ลงตัว จัดวางตำแหน่งและฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ดี ในด้านความคุ้มค่าสำหรับรุ่น Long Range กับราคา 1,299,000 บาท ผมว่าแอบสูงไป ถ้าราคานี้ผมขยับไปรุ่น Top มันจะดูคุ้มค่ากว่า พยายามเข้าใจนะครับว่า CPU นำเข้า และมีออปชั่นมาให้เยอะอยู่พอสมควร แต่อย่าลืมไปว่าตัวรถมีดีไซน์ในแบบเฉพาะกลุ่มที่คนจะชื่นชอบ ลูกค้าไม่ได้มีครอบคลุมเป็นวงกว้างเหมือนกับรถดีไซน์ทั่วๆ ไป ยิ่งในช่วงนี้คู่แข่งที่เป็นรถอีวีด้วยกันสัญชาติเดียวกัน ทำการตลาดแบบหั่นราคาชนิดเอาเป็นเอาตายกันไปข้างหนึ่งแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขายได้ขายคล่องเหมือนกับ ORA Good Cat ในช่วงแรก ๆ

สำหรับคนที่สนใจรถรุ่นนี้หรือรุ่นอื่น ๆ จาก GWM ก็สามารถไปทดลองขับได้ที่โชว์รูม เกรท วอลล์ ทั่วประเทศครับ